ประโยชน์ของ “หอยนางรม” ที่มากกว่าเสริมสมรรถภาพทางเพศ

Food Story อาหาร

หอยนางรม เป็นหนึ่งในอาหารทะเลที่เป็นที่นิยมของชาวไทย และคนทั่วโลก สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย รสชาติอร่อย สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดๆ และแบบปรุงสุกในหลายๆ รูปแบบ อบ นึ่ง ผัด ทอด ฯลฯ

นอกจากรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์แล้ว หอยนางรมยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างที่น่าสนใจอีกด้วย

ประโยชน์ของหอยนางรม

  1. แร่ธาตุสังกะสีที่อยู่ในหอยนางรม ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง เพิ่มการตื่นตัว
  2. ช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าได้ด้วย
  3. วิตามินบี 1 และ บี 2 ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ และหัวใจ
  4. วิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณ
  5. ทอรีน ช่วยเสริมสร้างการทำงานของต่อมหมวกไต ให้หลั่งฮอร์โมนเพศชายออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับต่อมลูกหมาก และยังช่วยรักษา และป้องกันการเป็นหมัน
  6. มีสารอาหารหลากหลายที่แทบจะเพียงพอกับร่างกายที่ต้องการใน 1 วัน เช่น วิตามินบี 3 วิตามินวิตามินดี ธาตุเหล็ก ทองแดง ไอโอดีน เป็นต้น

วิธีกินหอยนางรมให้ปลอดภัย

หลายคนอาจกังวลว่าหอยนางรมจะมีคอเลสเตอรอลเยอะเกินไปหรือไม่ และหากกินสดจะเสี่ยงอันตรายอะไรหรือเปล่า

จากสารอาหารทั้งหมดในหอยนางรม 1 ตัว เราไม่ควรกินหอยนางรมเกิน 5 ตัวใน 1 มื้อ และหอยนางรมเกือบทุกตัวมีเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า วิบริโอ และ ซาลโมเนลลา ที่อาจทำให้มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง และหากใครเป็นโรคตับ ติดสุราเรื้อรัง เอชไอวี หรือกำลังทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ อาจมีอาการหนักกว่าคนปกติ มีความเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นใครที่มีความเสี่ยงดังกล่าว ไม่ควรทานหอยนางรม แต่หากใครที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

หากอยากหลีกเลี่ยงอันตรายจากหอยนางรม ควรเลือกซื้อหอยนางรม ดังนี้

  1. เลือกซื้อหอยนางรมจากแหล่งผลิตที่ไว้ใจในคุณภาพได้
  2. สังเกตความสะอาดของเปลือก และภายในของหอย ต้องสดใหม่ สะอาด ไม่มีกลิ่นไม่เหม็นคาว
  3. สีของหอยไม่เปลี่ยน หรือผิดปกติไปจากเดิม เช่น เนื้อของหอยไม่ยุ่ยเละ สีไม่คล้ำ
  4. เลี่ยงการทานน้ำทะเลที่มากับหอย
  5. ถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด คือ ควรกินหอยนางรมปรุงสุก แม้ว่าจะกินกับมะนาว หรือการปรุงสุกด้วยกรด ก็ยังไม่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มากับหอยได้ และที่สำคัญอย่ากินหอยนางรมมากเกินไปในคราวเดียว เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเดิม

ที่มา : Sanook.com