จาก”เลิฟอีส” สู่ “ไลฟ์อีส” อีกบทบาทคู่หู “บอย-นภ” กับธุรกิจเปลี่ยนสังคมบิดเบี้ยวให้ดีขึ้น

Entertainment บันเทิง

เรื่อง : ธฤต อังคณาพาณิช, ภาพ : ปานิตา แสวงหา, วิดีโอ : ศรุตยา ทองขะโชค


 

ค่ายเพลง เลิฟอีส (LOVEiS) เป็นที่รู้จักมักคุ้นของแฟนเพลงรักหวานซึ้งในบ้านเรา ก่อตั้งโดย “บอย โกสิยพงษ์” นักแต่งเพลงที่แต่งเพลงให้กับศิลปินมาแล้วนับไม่ถ้วน วันนี้ในห้วงวัยแตะถึงเลขห้า ชายผู้เปี่ยมด้วยความรักและความหวังอย่าง “บอย” ก็ยังไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ด้วยการร่วมกับน้องชายบนถนนสายดนตรีอย่าง “นภ พรชำนิ” ก่อตั้ง บริษัท ไลฟ์อีส จำกัด (LIFEiS) บริษัทที่ทำธุรกิจเพื่อสังคม บนความตั้งใจของพวกเขา ที่อยากจะปลูกสิ่งดีๆ ให้กับสังคมไทย

“มติชนอคาเดมี” มีโอกาสพูดคุยกับ “บอย” และ “นภ” ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายของออฟฟิศไลฟ์อีสย่านทองหล่อ แม้ทั้งคู่จะมีเวลาว่างไม่มากนัก เพราะ งานเพลง ก็ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ แต่กว่าชั่วโมงที่ได้พูดคุยกันนั้น นอกจากจะทำให้รู้จักกับไลฟ์อีสมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้เห็นถึงความจริงใจ และความหวังของพวกเขา ที่อยากจะเห็นสังคมนี้ดีขึ้น

บอยเริ่มต้นเล่าถึงที่มาที่ไปของการก่อตั้งไลฟ์อีสให้ฟังว่า จากการมองเห็นว่าสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่เขายังเด็กมาก มีเรื่องราวในแง่ลบต่างๆ มากมายทั้งบนโลกจริงและโลกโซเชียล ซึ่งหากมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ จริง ๆ แล้วถูกปลูกฝังขึ้นมาจากเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว ดังคำที่ว่า “วันนี้คือผลผลิตของวันวาน” ดังนั้น ในฐานะที่เป็น “ผลผลิตของวันวาน” คนหนึ่ง จึงอยากที่จะมอบอะไรบางอย่างเพื่อที่จะแก้ไขสังคมที่บิดเบี้ยวนี้ให้ดียิ่งขึ้น

“เรารู้สึกเป็นทุกข์มากเวลาที่คนในประเทศทะเลาะกัน พอเราอ่านหรือได้ยินก็รู้สึกเป็นทุกข์ ด้วยความที่เราเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ การสร้างความสุขให้กับคนอื่นคืองานของเรา หากเราสามารถที่จะใช้จุดนี้สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขให้กับสังคมได้ ผมก็ยินดีที่ที่จะทำ ซึ่งถ้าเราช่วยกันหว่านเมล็ดนี้คนละไม้คนละมือ มันจะต้องสำเร็จแน่ๆ ผมเชื่อว่าอย่างนั้น” นักแต่งเพลงรักและให้กำลังใจอธิบาย

ใช้ผู้เชี่ยวชาญดูแล 8 ช่วงวัย

หลายคนอาจยังสงสัยว่า แล้วไลฟ์อีสจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยวิธีไหน เครื่องมือใด ซึ่งบอยบอกว่า จริงๆ แล้วงานที่ทำนั้นไม่ตายตัว บางทีอาจเป็นการไปเล่าประสบการณ์ การจัดมินิคอนเสิร์ต การจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ หรือการไปลงพื้นที่ให้คำปรึกษา ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับสารคือใคร โดยไลฟ์อีสแบ่งกลุ่มผู้รับสารของเขาออกเป็น 8 เซคชั่น คือ วัยเด็กเล็ก, ประถมฯ, ม.ต้น, ม.ปลาย, นักศึกษา วัยแต่งงานและวัยเกษียณ ซึ่งแต่ละเซคชั่นก็จะมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์คอยดูแลให้คำปรึกษา เช่น “เพลิน ประทุมมาศ” ภรรยาของนภ ที่ศึกษาด้านเล็กมาโดยเฉพาะ ก็จะดูในเรื่องของเด็กเล็ก, โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ก็จะดูแลในช่วงวัยประถมฯ แนะนำการใช้ดนตรีเพื่อฝึกสมาธิในการเรียน, อุ๋ย บุดด้าเบลส ก็จะดูแลช่วง ม.ปลาย และอาชีวศึกษา เป็นต้น

“ใน 8 เซคชั่น ผมดูแลช่วง ม.ต้น กับช่วงแต่งงาน เพราะตอน ม.ต้น ผมเป็นคนที่สอบตกบ่อยมาก และโดนไล่ออกจากโรงเรียน ดังนั้นผมจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่ชอบการเรียน โรงเรียนมันยังมีข้อจำกัดอยู่ กระทรวงศึกษาธิการท่านเสนอมาให้มีแค่สายวิทย์กับสายศิลป์ ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในสองอย่างที่เขาให้ แต่ว่าผมไปได้ดีกับเรื่องอื่น ซึ่งก็คือการแต่งเพลง ผมชอบแต่งเพลง ผมก็สามารถประสบความสำเร็จในเรื่องการแต่งเพลงได้ โดยที่เราไม่ต้องประณามตัวเองว่าเราเป็นคนโง่หรือใช้การไม่ได้ เรื่องพวกนี้เราก็จะเอาเรื่องพวกนี้ไปคุยกับผู้ปกครอง นักเรียน เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช้ทางตันของคุณ แต่เป็นเวลาที่จะได้เลือกว่ายังมีอีกหลายอย่างที่อยู่รอบๆ ตัว และลูกของคุณจะเหมาะกับอะไรที่สุด” บอยกล่าว

กำไรที่มากกว่า …คือทัศนคติคนที่เปลี่ยนไป

ถึงแม้ไลฟ์อีสจะเป็นธุรกิจที่ทำเพื่อสังคม แต่พวกเขาเองก็ต้องมีรายได้เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ซึ่งพวกเขาคาดว่า รายได้จะมาจากการสนับสนุนจากองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของกิจกรรมที่พวกเขาทำ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่เหมือนอย่างธุรกิจทั่วไปที่วัดด้วยผลกำไรเป็นหลัก แต่ไลฟ์อีสมองว่าคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมจะมีทัศนคติที่ดีขึ้น ได้ประสบการณ์ ได้ความคิดใหม่ ๆ ได้แรงบันดาลใจ ได้ความคิดด้านบวก ที่สามารถต่อยอดไปสู่การมีชิวิตที่ดีกว่าเดิม บนพื้นฐานการให้และการพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น และสามารถที่จะต่อยอดธุรกิจแบบนี้เข้ามาในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น ความสำเร็จของเราไม่ใช่ตัวเลขด้านกำไร

“ลองจินตนาการว่าซอยนี้มันมีขยะอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีรถเก็บขยะเข้ามา ไลฟ์อีสอาสาว่าขอมาเก็บขยะ ก็ขอค่าเก็บขยะด้วยตามความประสงค์ของท่าน เพราะว่าเราก็เอาเงินเหล่านั้นมาหมุนเวียนใช้ในการทำงาน เราถึงเรียกมันว่าเป็น social business เราทำงานแล้วรับเงินด้วยเพราะต้องเอาเงินเหล่านี้มาทำงาน เอามาเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงพนักงานทุกคนให้ได้มีกินมีใช้ ไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ได้เก็บขยะฟรีได้ตลอด เมื่อเก็บขยะอย่างนี้แล้วมันประสบความสำเร็จ เป็นที่ชื่นชอบ บริษัทอื่นเขาก็อาจจะเปิดตามซอยนั้นๆ ขึ้นมา ซึ่งก็อยากให้ใช้โมเดลนี้ว่า การทำงานเพื่อสังคมสามารถที่จะมีรายได้ได้ ไม่ใช่การทำงานที่ต้องอดทนอย่างเดียว” บอย โกสิยพงษ์กล่าว

นภ พรชำนิ ที่วันนี้ดำรงตำแหน่ง CEO ของไลฟ์อีส กล่าวเสริมว่า การทำงานเพื่อสังคมถูกมองว่าต้องใช้จิตอาสาและความอดทนสูง ทำให้คนส่วนมากไม่อยากที่จะมาทำแม้จะอยากช่วยเหลือสังคม เพราะหากไม่มีรายได้และตัวเองยังไม่มีต้นทุนมากพอ การช่วยเหลือผู้อื่นมีรายได้ได้ แต่จะนำรายได้นั้นมาพัฒนาต่อยอดให้กิจกรรมนั้นดีขึ้น การที่จะไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ ก็ต้องเริ่มจากการช่วยเหลือตัวเองเป็นอันดับแรก พอมีกำลังแล้วจึงสามารถเต็มที่กับการช่วยเหลือผู้อื่นได้ รวมถึงต่อยอดเส้นทางการทำธุรกิจให้กับบริษัทอื่นอีกด้วย

“หากบ้านเราสะอาดแล้วเราก็อาจจะช่วยให้บ้านอื่นสะอาดขึ้น ปลูกต้นไม้แห่งความหวังเพิ่ม นั่นคือสิ่งที่ไลฟ์อิสทำอยู่ หากเรานั่งรอให้คนทำมันก็จะไม่มีใครทำสักที เรื่องรายได้หรือผลกำไรคือปลายทางที่เกิดขึ้นหลังจากทำเสร็จไปแล้ว ยิ่งเราพยายามทำ เชื่อว่าก็ต้องมีคนเห็น มีคนอยากสนับสนุน และเมื่อเรายิ่งให้ เราก็จะยิ่งได้รับ ถ้าหากสิ่งที่เราทำมันเป็นประโยชน์จริงๆ ผมมั่นใจเลยว่าจะต้องมีคนมาสนับสนุนแน่นอน เหมือนอย่างที่เราทำเพลงดี คนก็จะสนับสนุนพวกเรา” นภกล่าว

ผุดโปรเจ็กต์ใหญ่สำหรับคู่รัก

หลังจากก่อตั้งบริษัทมาได้ครึ่งปี สิ่งที่พวกเขาทำไปแล้วก็คือการไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนในช่วง ม.ต้น ซึ่งจัดให้กับหลายโรงเรียน และได้รับผลตอบรับดี นอกจากนี้ก็คือเรื่อง staying in love หรือหัวข้อพูดคุยเกี่ยวกับการครองชีวิตคู่ ที่ปกติบอยจะมักจะพูดเรื่องนี้ในการจัดรายการวิทยุที่คลื่น 97.5 ทุกวันอังคาร เวลา 21.00-00.00 น. ซึ่งพวกเขากำลังจะขยายหัวข้อนี้ให้กลายเป็นกิจกรรมดีๆ สำหรับคู่รัก แต่จะเป็นโชว์ที่พูดถึงประสบการณ์ความรัก การที่จะทำให้ชีวิตรักยั่งยืน เหนียวแน่นกันมากยิ่งขึ้น เปรียบงานนี้ว่าเป็นคู่มือการใช้ชีวิตคู่ โดยจะมีการเล่นมินิคอนเสิร์ตควบคู่กันไปอีกด้วย

“งานนี้ผมกับคุณไลฟ์จะเข้าไปทำ โดยจะมีนภเป็นผู้ทำคอนเสิร์ต ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 25-26 สิงหาคมนี้ ที่โรงละครเอ็มเทียเตอร์ ที่เราให้ชื่อว่า staying in love เพราะเรามองว่า คนเรานั้นง่ายมากที่จะ falling in love แต่มันยากที่จะตกหลุมรักแบบเดิมกับคนคนเดิมไปตลอดชีวิต ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำคือการเข้าไปเล่าวิธีให้เขาฟัง เพราะบางครั้งการใช้ชีวิตคู่ก็เหมือนกับการขับรถ ที่ถ้าเราจะขับรถ ก็ต้องเรียนขับรถก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ขึ้นไปขับรถแล้วขับไปได้เลยโดยไม่ชน การแต่งงานก็เหมือนกัน เราต้องเรียนรู้ว่าเราจะทำอย่างไรกับการคาดหวังของ 2 ฝั่งที่มาจาก 2 บ้าน มาจาก 2 วัฒนธรรม ก็จะมีคอร์สแบบนี้ไว้แบ่งปันประสบการณ์ เพราะผมก็ผ่านมาแล้ว มีประสบการณ์ที่ทะเลาะกับภรรยา ซึ่งเราก็ต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน” บอยกล่าว

ด้านซีอีโอแห่งไลฟ์อีสอย่างนภกล่าวว่า กินกรรม Staying in Love เรียกได้ว่าเป็น Love Mentortainment เป็นการเอาคำว่า mentor กับ entertainment มารวมกัน ซึ่งจะจัดโชว์ต่างๆ เสริมประกอบกับการพูด จนทำให้ 3 ชั่วโมงแห่งการโชว์ผู้ชมจะได้เต็มอิ่มกับทุกรสชาติ ได้หนังสือแบบฝึกหัด ได้แบบประเมินสำหรับคู่ของตัวเองว่ามีแนวโน้มจะเป็นอย่างไร มีโอกาสเข้าใจกันมากขึ้นหรือไม่

ความหวังของไลฟ์อีส…คือเห็นลูกหลานอยู่ในสังคมที่ดี

ทั้งบอยและนภต่างเชื่อว่า ไลฟ์อีสจะค่อยๆ สร้างค่านิยมแบบใหม่ๆ ทำให้ธุรกิจเพื่อสังคมมีมากขึ้น เมื่อธุรกิจแนวนี้มีมากขึ้น ก็จะเกิดการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้สังคมได้รับการช่วยเหลือ และสิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้สังคมมีความเกื้อกูลกันมากขึ้น มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง

“อยากให้มีบริษัทที่ทำแบบเราเยอะๆ อยากให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จจนกระทั่งมีคนอยากมาทำเลียนแบบ แล้วทำให้มันดียิ่งขึ้น ยิ่งแข่งยิ่งดี เพราะมันจะเกิดการทำดีเพื่อสังคมที่ดีขึ้นไปอีก ดังนั้น ยิ่งมีบริษัทแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ประเทศเรา โลกเรา มันก็จะดีขึ้น ซึ่งเราไม่มีปัญหาอะไรเลยกับการที่ใครจะมาทำแบบนี้ ตอนนี้เราก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว คือจะฝืนทำอยู่คนดียวก็ไม่ใช่ อยากให้คนอื่นมาทำ มีจุดประสงค์เดียวกันว่า เพื่อให้สังคมมีความหวัง เพื่อให้ลูกหลานเราในอนาคตอยู่ในสังคมที่มันดีขึ้นกว่านี้” นภกล่าวอย่างคาดหวัง

ขณะที่บอยบอกว่า บริษัทนี้เป็นเหมือนผู้หว่านเมล็ด ที่มองไปยังอนาคตอาจจะ 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งตัวเขาอาจไม่ได้อยู่เห็นเมล็ดพันธุ์นี้ตอนที่เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ยังไงไลฟ์อีสก็จะเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตเมล็ดพันธุ์ที่หว่านไปให้ไปถึงจุดจุดนั้นให้ได้ แม้ว่าบางเมล็ดอาจจะไม่ต้องการที่จะเติบโตก็ตาม

“ผมเชื่อว่าเราเป็นผู้หว่านเมล็ด เราก็ปลูกไปเรื่อยๆ และพยายามคอยพรวนดิน แต่การที่จะเติบโตได้เป็นเรื่องของเมล็ดนั้นๆ ถ้าเขาต้องการจะเติบโต เราเชื่อว่าจะเติบโต ถ้าคู่รักคู่นั้นต้องการที่จะรักกันจนวันสุดท้ายของชีวิต แล้วเขาใช้แบบแผนตามเรา เขาก็จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเขาไม่อยากอยู่ต่อ ให้เรามีแบบแผนดีแค่ไหน เขาก็ไม่อยากอยู่ เราคงพูดได้แค่เราเป็นผู้หว่าน แต่การเติบโตเป็นเรื่องของเขา แต่เรามั่นใจว่าเราจะหว่านแต่สิ่งดีๆ ปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ เราทำวันนี้ให้ดี เพราะว่าไม่มีใครกลับไปแก้อดีตได้ ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้ก็คือสร้างสิ่งดีๆ ขึ้นมาทดแทน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เดี๋ยวผลมันก็งอกเงยออกมาเอง” บอยกล่าวทิ้งท้าย

ถือเป็นอีกบทบาทใหม่ของเจ้าพ่อแต่งเพลงรักโรแมนติก และนักร้องเสียงอบอุ่น ที่หวังจะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ความหวัง ความเอื้ออาทร เพื่อสร้างสังคมที่ดีในอนาคตต่อไป