คุณอาจอยากได้สิ่งนี้ พาไปรู้จักการท่องเที่ยวแบบมนุษย์ล่องหน ตัดขาดจากโลกภายนอก

Culture ศิลปวัฒนธรรม

“อยากหายตัวไปเลย แบบไม่มีใครตามหาเจอ”

คุณ ชอบที่ได้เห็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ บนเฟซบุ๊ก และชอบที่บางครั้งมันก็ช่วยให้คุณค้นพบเพื่อนเก่าๆ ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว – และคุณก็รู้สึกขอบคุณโซเชียลเน็ตเวิร์กเสมอที่ทำให้คุณทำงานง่ายขึ้น แต่ในตอนเย็นของวันที่เหนื่อยล้า คุณก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า – อยากใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากโลกนี้จังเลย และแล้ว คุณรู้สึกว่าโลกนี้มันช่าง “เชื่อมต่อ” มากไปเสียเหลือเกิน

อันที่จริงการตัดขาดมันก็ไม่ได้เป็น เรื่องยากนั่นแหละ คุณก็แค่ปิดสวิตช์มือถือ ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วจมลงกับหนังสือสักเล่ม หรือแช่น้ำในอ่างยาวๆ ฟังเพลงโปรดไปก็ได้ แต่คุณก็ไม่เคย “ตัดขาด” ได้อย่างใจเสียที เผลอทีไร กล้ามเนื้อมือก็สั่งการ (ราวกับไม่ผ่านสมอง!) ให้คุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่ามีใครแมสเสจมาไหม ใครโทรมาหรือเปล่า เพื่อนคนนั้นตอบคอมเมนต์คุณหรือยัง ฯลฯ หลังจากที่คุณเช็กด้วยความพอใจไปสักพัก คุณก็รู้ตัว แล้วก็รู้สึกผิด ที่ติดโซเชียลจนตัดมันไม่ได้

ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกร่วมของ หลายๆ คน ในยุคที่โซเชียลเน็ตเวิร์กแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของชีวิต จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นธุรกิจที่ทำรายได้จาก “การตัดขาด” มันอาจมาในลักษณะของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่เมื่อลงแล้วจะทำให้คุณเข้าเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ไม่ได้ในเวลาที่กำหนด หรือมันอาจมาในลักษณะของโทรศัพท์มือถือที่จุดขายคือความไร้อินเตอร์เน็ต (โทรออกได้อย่างเดียว) – หรือสำหรับคนที่อยาก “ตัดขาดจริงๆ” มากหน่อย ก็มีธุรกิจที่เสนอทริปที่พาคุณไปยังที่ห่างไกลที่คุณไม่ต้องเจอใคร, และไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตอยู่หลายรูปแบบ

คำว่า “Digital Detox” หรือ “ล้างพิษดิจิทัล” นั้นเริ่มถูกพูดถึงมากมาตั้งแต่ปี 2014 มันหมายถึงการตัดขาดจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อปรับปรุงสภาพจิต (ที่อาจเหนื่อยล้าจากการเชื่อมต่อมากเกินไป) กลับไปสานสัมพันธ์กับเพื่อนโดยที่ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ต ทำให้ทำงานได้อย่างมีโฟกัสมากขึ้น และยังมีคนล้างพิษดิจิทัล เพราะรู้สึกว่าการก้มหน้า (หรือนั่ง) มองจอทั้งวันนั้นทำให้สุขภาพเสียด้วย

บริษัท Time To Log Off เป็นบริษัทหนึ่งที่เสนอทริป “ล้างพิษดิจิทัล” ในลักษณะนี้ Tanya Goodin ผู้ก่อตั้ง เริ่มความคิดนี้หลังจากสังเกตตัวเองแล้วพบว่าเธอไม่ได้อ่านหนังสือนานแล้ว (นานถึงสี่ปี!) ด้วยการงานที่ต้องเชื่อมต่อตลอดเวลา (ทำเอเยนต์การตลาดออนไลน์มายี่สิบปี) เธอรู้สึกว่าตัวเองสมาธิสั้นลงมาก จึงตัดสินใจลาออกและเริ่มบริษัทใหม่ที่จะพาคนที่คิดคล้ายๆ กัน ไปดีทอกซ์ในสถานที่อย่างฮาวาย อิตาลี หรือคอร์นวอลล์

สำหรับคนที่อยาก “หายตัว” ไปจริงๆ มากกว่านั้น ก็ยังมีบริษัทท่องเที่ยวอย่าง Black Tomato ที่จัดโปรแกรมเดินทางชื่อ Get Lost (หายตัวไป, หรือ “มาหลงทางกัน”) ให้ด้วย โครงการนี้ไม่ได้เพียงล้างพิษดิจิทัลให้คุณเท่านั้น แต่ยังจะทดสอบสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์ของคุณทั้งทางร่างกายและทางสภาพจิต อย่างถึงกึ๋น

ทีมงานของ Get Lost จะพูดคุยกับผู้สมัครเพื่อถามถึงเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ (คุณรู้สึกว่าชีวิตไร้ความหมายไหม คุณมาทริปนี้เพราะอยากค้นหาตัวเองหรือตัดขาดเพราะอะไร คุณอยาก “หลง” ขนาดไหน) หลังจากนั้นเขาจะให้เวลาผู้สมัคร 6 เดือน เพื่อเตรียมตัว ฟิตร่างกายและจิตใจให้พร้อม (ซึ่งทีมงานอาจเตรียมโค้ชฟิตเนสหรือกระทั่งครูสอนทักษะการเอาชีวิตรอดให้ ด้วย!) หลังจากนั้นพวกเขาก็จะถูกพาไปยังจุดหมายลับ พวกเขาไม่รู้ว่าจะได้ไปที่ไหน – จนกว่าจะถึงที่นั่น

จุดหมายที่ว่ามี ตั้งแต่ขั้วโลกเหนือ ป่าดงดิบ ทะเลทราย ภูเขา หรือเกาะร้าง ในจุดหมายแห่งใดแห่งหนึ่ง ผู้สมัครจะถูกปล่อยไว้ “เสมือน” ตามลำพัง ที่บอกว่า “เสมือน” เพราะไม่ได้อยู่ตามลำพังจริงๆ แต่ทีมงานของ Get Lost จะคอยจับตามองตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุอันตราย (แต่คุณจะไม่เห็นพวกเขาหรอก) เป้าหมายของผู้ร่วมทริปคือการพยายามพาตัวเองไปยังจุดเช็กพอยต์ในแต่ละวัน โดยอาศัยทักษะที่ตระเตรียมมาตั้งแต่ต้น หากพวกเขาเดินทางไปจน “จบ” ทริปได้สำเร็จ ก็จะได้รับรางวัลที่ Get Lost บอกว่า “เป็นรางวัลที่คู่ควรกับคนแกร่ง”

แน่นอนว่าสำหรับบริการเอ็กซ์คลูซีฟ (และปรับเปลี่ยนตามผู้สมัครเอง) ในระดับนี้ เว็บไซต์ของ Get Lost จึงไม่ได้บอกราคาไว้ชัดเจน โดยมีการประมาณไว้ว่าราคาจะเริ่มต้นที่ $30,000 แต่ก็อาจมากกว่านั้นมาก ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่คุณจะไป อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม ระยะเวลา ความเชี่ยวชาญของไกด์ ฯลฯ

Tom Merchant ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Black Tomato เจ้าของแนวคิด Get Lost ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Vogue ว่า “การท่องเที่ยวระดับหรูหรา (Luxury Travel) นั้นกำลังวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดมากว่าผู้คนกำลังมองหาช่วงหยุดพักที่จะท้าทายพวกเขาทั้งทางจิตใจ และร่างกาย การเดินทางลักษณะนี้จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากงานประจำวันที่หนักหนาและยุ่ง ขิงได้”

“เราหวังว่าทริปของเราจะช่วยเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการท่องเที่ยวของคนทั่วไปได้” เขาบอก

หากพบว่าแต่ละวันคุณเหนื่อยล้าและอยากหยุดพัก ความรู้สึกอยากหายตัวไปพุ่งขึ้นมาเป็นอาการเรื้อรัง Get Lost อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ!


ที่มา คอลัมน์ Future perfect / นสพ.มติชน การท่องเที่ยวแบบมนุษย์ล่องหน : โดย ทีปกร วุฒิพิทยามงคล