ห้ามส่งออกไข่ไก่ 7 วัน ขายแพง คุก 7 ปี

Business ธุรกิจ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากมาตรการที่เข้มข้นขึ้นของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนเป็นกังวลและแห่ซื้อไข่ไก่จนขาดตลาด ทางกระทรวงพาณิชย์จะเพิ่มมาตรการเรื่องการแก้ไขปัญหาไข่ไก่โดยจะออกประกาศห้ามการส่งออกไข่ไก่ออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะมีการพิจารณาขยายเวลาเพิ่มเติม

พร้อมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการปราบปรามและจับกุมดำเนินคดีกับผู้ฉวยโอกาสขายเกินราคาโดยราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มราคา 2.80 บาท ราคาขายปลีกอยู่ที่ 3.30 ถึง 3.50 บาท หากฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานค้ากำไรเกินควร โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“สถานการณ์สินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะไข่ไก่ว่า บางช่วงอาจล้นตลาด บางช่วงก็อาจขาดตลาด อย่างเช่นปีที่แล้วไข่ล้นตลาดถึงขั้นที่รัฐบาลจะต้องช่วยอุดหนุนการส่งออก โดยรัฐอุดหนุนเพื่อการส่งออกฟองละ 46 สตางค์ และช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในประเทศด้วย แต่ในช่วงเวลานี้เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และมาตรการที่เข้มข้นขึ้นของรัฐบาล ดังนั้นอาจทำให้พี่น้องประชาชนมีความกังวลว่าไข่จะขาดตลาด ทำให้มีความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ ถึง 2-3 เท่า เช่นจากการสำรวจบางห้างสรรพสินค้าที่ปกติ 1 ส่วนใช้เวลาขาย 3 วัน แต่ที่ผ่านมาใช้เวลาเพียงวันเดียวก็หมด เพราะฉะนั้นจึงทำให้ขาดตลาดในบางช่วงบางเวลา แต่เมื่อดูตัวเลขการผลิตรวมโดยเฉลี่ย ยังถือว่าอยู่ในปริมาณเท่าหลายปีที่ผ่านมา คือวันละ 40 ล้านฟอง”

ส่วนการดูแลสินค้าอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน จะมีการดำเนินคดีโดยเด็ดขาด โดยวันนี้เมื่อเวลา 11.00 น. มีการจับกุมกรณีขายเจลล้างมือในราคาแพงเกินควร ที่ร้านภูเก็ตโกรเซอรี่ จังหวัดภูเก็ต โดย สภ.ภูเก็ตได้ดำเนินคดีร้านดังกล่าว 2 คดี คือขายแอลกอฮอล์ 70% ยี่ห้อศิริบัญชา จากราคา 50-60 บาท แต่ขายในราคา 309 บาท

“ตอนนี้ในส่วนของเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ทั้งการเร่งการผลิตร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม รวมไปถึงเรื่องการนำเข้า ไม่ว่าจะเป็นหน้ากาก N95 PPE Lab test หรือในส่วนเวชภัณฑ์อื่นๆ ยกเว้นหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ที่ขณะนี้สามารถผลิตได้ 2.3-2.4 ล้านต่อวัน ได้มีการจัดให้กระทรวงสาธารณสุขไปกระจายให้สถานพยาบาลทุกประเภท ทุกสังกัด ทั่วประเทศ จำนวนเพิ่มได้ถึง 1.3 – 1.5 ล้าน ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการรับหน้ากากของกระทรวงสาธารณสุข และแต่ละโรงพยาบาล เพราะขั้นตอนกระบวนการทางราชการบางครั้งก็มีขั้นตอน อาจทำให้ล่าช้า ติดขัดบ้าง โดยวันนี้ได้แจ้งปลัดกระทรวงกระทรวงสาธารณสุขให้เร่งดำเนินการในส่วนนั้นแล้ว เพื่อให้แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ที่ลำดับต้น ส่วนที่เหลือซึ่งเดิมกรมการค้าภายในเป็นผู้บริหารจัดการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ก็จะมอบให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับไปดำเนินการ เหตุที่เป็นกระทรวงมหาดไทย เพราะหลังจากมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีอำนาจเกือบเบ็ดเสร็จในทุกเรื่องแล้วดังนั้นการจัดการเรื่องเวชภัณฑ์ป้องกันบางส่วน เช่นหน้ากากอนามัย ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการในเรื่องการกระจายหน้ากากในแต่ละจังหวัดได้ดีที่สุด เพราะจะเป็นผู้ที่รู้เรื่องในพื้นที่ดีที่สุดว่ากลุ่มเสี่ยงอยู่ที่ใดบ้าง”

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์