“หมอธีระวัฒน์”โพสต์สาเหตุต้องปิดบ้าน-ประเทศ เพื่อรับมือโควิด-19

Health สุขภาพดีๆ

“หมอธีระวัฒน์” ชี้ สาเหตุสำคัญที่ต้องปิดบ้าน-ประเทศ เพื่อรับมือโควิด-19

สาเหตุสำคัญที่ต้องปิดประเทศ – ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เริ่มปีมาด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เมืองอู่อั่น ประเทศจีน และเชื้อได้ลุกลาม กระจายไปแทบทุกประเทศทั่วโลก จนผู้นำของหลายๆ ประเทศมีคำสั่งประกาศปิดเมืองปิดประเทศ เพื่อควบคุมสถานการณ์

ซึ่งจากข่าวที่มีการนำเสนอออกมาเป็นระยะๆ ดูเหมือนวิธีปิดประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ค่อนข้างได้ผลตอบรับที่ดีเลยทีเดียว ดูได้จากจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน และอีกหลายประเทศที่ใช้มาตรการเดียวกัน สวนทางกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่ทั่วโลกต่างวิตกกังวลและเฝ้าติดตามความคืบหน้ายอดผู้ติดเชื้ออยู่เป็นระยะ

เช่นเดียวกับคนไทยหลายๆ คน ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดภายในประเทศ จนแห่ไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจนขาดตลาด แต่รัฐบาลก็ออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและบอกว่า ประเทศไทยยังไม่เข้าสู่สภาวะการระบาดเฟส 3

ซึ่งสวนทางกับ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มจำนวนมากขึ้น และสาเหตุสำคัญ ที่ประเทศไทยต้องปิดประเทศและต้องปิดบ้าน โดยข้อความที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ โพสต์ ระบุว่า

สาเหตุสำคัญที่ต้องปิดประเทศและต้องปิดบ้าน
ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
19/3/63

1.– ไม่มียา
ยาที่คิดว่าจะใช้ได้ มีการรายงานมาหลายคราว และล่าสุดในวารสาร นิวอิงแลนด์ 18 มีนาคม ว่า ยา lopinavir/ritonavir ไม่ได้ผล มีแต่ยา chloroquine ที่รักษามาลาเรีย ที่เราพอหาได้ กับ favipiravir (ผลิตที่ญี่ปุ่นและจีน ที่เรามีจำนวนจำกัดมากสำหรับคน 600 ถึง 700 คนเท่านั้น และภาวนาให้มีพอเป็นหมื่นๆ คน (1คนใช้ 70 เม็ด)

2. – ระบบสาธารณสุข กายภาพ อุปกรณ์ กำลังคน
เตียงแยกอาการหนัก ที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตและก่อให้เกิดละอองที่จะให้เกิดการติดต่อทางการหายใจ ควรต้องเป็นห้องความดันลบจริงๆ ที่ทั้งประเทศ มี 100 กว่าห้อง (ใช่หรือไม่) และกระจัดกระจายอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ แห่งละไม่มาก ห้องที่ดัดแปลง รวมทั้งห้องแยกอื่นๆ รวมทั้งไอซียู มีพอจริงหรือไม่ รวมทั้งเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ช่วยชีวิต

นอกจากนี้ ห้องเหล่านี้ในโรงพยาบาลหลายแห่ง ใช้เครื่องปรับอากาศรวม ถ้ามีการใช้อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดการติดต่อทางการหายใจ จะสามารถแพร่กระจายไปกว้างขวาง 
บุคลากรมีหมอทั่วประเทศไม่ถึง 30,000 คนและเป็นหมอเชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อทางปอด และภาวะวิกฤตมีอาจจะเป็นจำนวน 1000 หรือน้อยกว่าและถ้าเกิดเหตุวิกฤต เอาหมอทั่วไปที่ไม่ชำนาญในการดูคนไข้และการใส่ชุดปกป้องตัวเอง แทนที่จะช่วย กลับติดโรคและกลายเป็นภาระให้ต้องรักษาต่อ

ทาง พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ เทคนิคการแพทย์จะยิ่งแล้วใหญ่ โดยที่ขณะนี้งานหนักมหาศาลอยู่แล้วและคนไข้แออัด เต็มวอร์ด เต็มไอซียู และครองเตียง ครองเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ช่วยชีวิตไปหมดแล้ว

3. – ถึงวันนี้เป็นวาระสุดท้ายที่ต้องก้าวนำเชื้อโรคไม่ใช่เกิดวิกฤตรุกล้ำเข้าไปในระบบสาธารณสุขมากกว่านี้ ดังที่มีข้อจำกัดมาก ดังข้อ 1-2 ถ้ายังคงก้าวตามหลัง ดูตามตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิต โดยไม่ได้ตระหนักว่า โรคนี้เป็นการติดต่อจากบุคคลสู่บุคคลเป็นลูกโซ่และยากที่จะจำกัดผู้ติดเชื้อและผู้ใกล้ชิด ที่แพร่เชื้อได้ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ติดเชื้อที่เป็นหนุ่มสาวแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว จะเป็นคนแพร่เชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าในที่ทำงาน ในระหว่างการเดินทางด้วยรถสาธารณะ หลังเวลาทำงาน ไปแพร่ระหว่างกลุ่มคนอีกมากมาย

และเมื่อเชื้อแพร่เข้าไปในกลุ่มคนเปราะบาง สูงอายุ และมีโรคประจำตัว 
และเมื่อเชื้อเข้าไปในโรงพยาบาล จากญาติผู้ป่วยที่เข้าไปเยี่ยมโดยมีการติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือน้อยมาก จนตรวจจับไม่พบ เมื่อนั้นก็จะเป็นการแพร่อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน รพ.ที่แออัด ตั้งแต่ ที่จอดรถ หอผู้ป่วยนอก และแน่นอน แพร่ไปทุกพื้นที่

การปิดบ้าน ปิดเมืองเดี่ยว ยากที่จะทำให้ประเทศสะอาด เรียนจากประเทศจีน เรียนจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่ยอมรับบทเรียนและวิธีแก้ไขจากประเทศจีน เราฟื้นความมั่นใจความเชื่อมั่น รวมทั้งเศรษฐกิจได้ ถ้าเราทำจริง

เราเหลือเวลาน้อยมาก
จากใจ
หมอธีระวัฒน์

ปล. น้องๆ fb update favi มีอีก 80,000 จะเข้ามาอีก 120,000 =รักษาได้เพิ่มอีก 2857 คน

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์