เรื่อง-ภาพ ภัทรสุดา พิบูลย์

ยุคนี้เป็นยุคหนึ่งที่เรียกได้ว่า “คนรุ่นใหม่” อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยความสนใจด้านธุรกิจ หรือแม้แต่การอยากถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปก็ตาม

หนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจคือ “อิง-ยลวารี สัตยนาวิน” เจ้าของแบรนด์ “YOLWAREE” (ยลวารี) ผู้เข้าร่วมประกวดโครงการ Talent Thai & Designers’ Room โครงการเฟ้นหาดีไซเนอร์ไทยผู้มีงานดีไซน์ที่โดดเด่นของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเธอได้รังสรรค์ไอเดียผลงานผ่านเครื่องประดับ “จิวเวลรี่” จนกลายเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยม

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า ก่อนหน้านั้น สอบตรงติดคณะบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อยากลองหาอะไรทำ ด้วยความที่ชอบจิวเวลรี่อยู่แล้ว เลยใช้เวลาว่างในการออกแบบจิวเวลรี่ แม้ไม่ได้มีทักษะทางด้านนี้เลย แต่เพราะความชอบก็เลยลองเขียนแบบขึ้นมา และทำขายในชื่อแบรนด์ “Haus of Jewelry” ผลที่ตอบรับกลับมาช่วงนั้นเป็นอะไรที่ได้กำไรมาก จากนั้นจึงนำเงินก้อนมาทำเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ในแบรนด์ “YOWAREE”

“ชื่อแบรนด์ YOLWAREE (ยลวารี) มาจากชื่อของตัวเอง ที่แปลว่า มองดูสายน้ำ สำหรับคอเล็คชั่นล่าสุดนี้อยากให้สินค้าสอดคล้องกับชื่อแบรนด์ จึงตั้งคอนเซ็ปต์ว่า วารี โดยดีไซน์จะเป็นแนววินเทจโมเดิร์น คือสวนงามแบบไม่ตกยุค”

อิง-ยลวารี บอกอีกว่า ในคอลเล็คชั่นวารีจะมีต่างหูห่วงและแหวน โดยเพชรทั้งหมดที่นำมาประดับผลงานจะเป็นสเต็ปคัต ทำให้ได้ชิ้นงานที่เหมือนเส้นของสายน้ำลึก สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ ทั้งนี้ ผลงานแต่ละชิ้นจะมีความวินเทจโมเดิร์น เป็นไอเท็มคลาสสิกที่ใส่ได้ตลอดกาล เพื่อความเก๋ในสไตล์วารี

อิง-ยลวารี สัตยนาวัน

“การผลิตของเราอย่างแรกจะเริ่มหาแรงบันดาลใจ ขั้นตอนต่อไปทำการร่างแบบ และใส่ทรีดี หรือสามมิติ จากนั้นนำมาแว็กซ์ และขึ้นตัวแม่พิมพ์หลัก แล้วทำการผลิตออกมา ซึ่งเรามีโรงงานผลิตอีกที วัตถุดิบที่ใช้ก็จะเป็นหินสีแสด ชุบเงินกับทองคำแท้”

ด้านกลุ่มลูกค้าของแบรนด์มีหลากหลายช่วงวัย แต่ที่นิยมมากสุดเป็นผู้หญิงช่วงวัยทำงาน อายุ 25-40 ปี เพราะราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้น 3,000 บาท จนถึง 12,000 บาท เป็นงานเงินแท้ ชุบทองและทองคำขาว

และมีอีกแบรนด์ที่ชื่อว่า “Haus of Jewelry” (เฮาส์ ซับ จิวเวลลี่) เป็นแบรนด์ที่เด็กกว่า ส่วนใหญ่จะอายุ 18-35 ปี เป็นงานเงินแท้ที่เอาใจวัยรุ่น ชวนใส่ง่าย เหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวัน

“ปัจุบันเรายังไม่ได้ส่งออกนอกประเทศ เพียงแต่เปิดเป็นบูธไปกับทางกรมฯ ที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว และก็อยู่กับกรมฯมาตลอด นอกจากนี้ยังเคยออกงานเจมส์แอนด์จิวเวลรี่ซ้อนกัน 3 ปี และออกงานไทยสไตล์ ที่ไบเทคบางนามา 3 ปีแล้วเช่นกัน”

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์ คือต้องเริ่มจากสิ่งที่เรารัก ถ้าไม่เริ่มจากสิ่งที่เรารัก ก็จะไม่ออกมาเป็นตัวตนของเรา ทุกอย่างก็จะไม่เต็มที่กับมัน

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างนักธุรกิจดีไซเนอร์ ที่นำสไตล์ความเป็นตัวเอง ผ่านผลงานศิลปะ แม้จะไม่เคยมีทักษะทางด้านการออกแบบจิวเวลลี่ แต่ความชอบและมุ่งมั่นก็สามารถนำเธอประสบความเร็จในด้านธุรกิจได้