วิธีทำแสนง่าย “ขนมวงทอง” ขนมไทยหาทานยาก ราดน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมาก

ขนมวงทอง เป็นอีกหนึ่งขนมไทยที่หาทานยาก ลักษณะเป็นวงกลมคล้ายโดนัท ราดด้วยน้ำตาลมะพร้าว อร่อยมากหยุดกินแทบไม่ได้ หากจะทำกินเองวิธีทำก็แสนง่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ทำครัวอะไรให้ยุ่งยาก โดยสูตรที่นำมาฝากนี้ เป็นสูตรจาก โครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ (มูลนิธิชัยพัฒนา)

ส่วนผสม

แป้งข้าวเหนียว 1 กก.

มะพร้าวทึนทึก 3 ขีด

กล้วยหอมงอม 4 ใบใหญ่

น้ำมะพร้าว 1 ถ้วยตวง

เกลือ 1 ช้อนชา

น้ำมันสำหรับทอด 2 ขวด

น้ำตาลมะพร้าว 1 กก.

2
วิธีทำ

นำแป้งข้าวเหนียว มะพร้าวทึนทึก กล้วยหอม น้ำมะพร้าว และเกลือเล็กน้อย ผสมกัน ใช้มือนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นวดจนแป้งไม่ติดมือ เหนียวนุ่ม จากนั้นให้นำมาปั้นเป็นรูปวงกลม มีรูตรงกลาง คล้ายโดนัท (ไม่ควรปั้นใหญ่มากเพื่อสะดวกในการทอด)

ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำขนมลงทอดในกระทะ ใช้ไฟอ่อน ทอดจนเหลือง

 

ต่อมานำน้ำตาลมะพร้าวขึ้นตั้งไฟให้ละลายและเหนียว เสร็จแล้วนำขนมที่ทอดไว้ลงชุบหน้าเดียว เป็นอันเสร็จ

3
5

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ตามรอยป๊า! ทายาท “เสี่ยพันล้าน” สู้ไม่ถอย เปิดร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ เลี้ยงตัว

จากชีวิตที่พลิกผันของ คุณสมชาย ศรีสกุลภิญโญ ผู้ก่อตั้งบริษัท สตาร์มาร์ค เมนูแฟคเชอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตชุดครัวไฟเบอร์กลาสแห่งแรกของเอเชีย แต่เกิดความไม่ลงตัวในธุรกิจ มีเหตุให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ จนนำไปสู่การฟ้องร้องถึง 13 คดี จนถึงวันนี้ก็ยังต้องขึ้นศาลอย่างต่อเนื่อง ทรัพย์สิน เงินทองที่สะสมมาก็นำไปใช้จ่ายในคดีความเป็นส่วนใหญ่ คุณสมชาย และครอบครัว จึงหันไปขายราดหน้า ซึ่งตัวเองได้คิดสูตรเฉพาะขึ้นมา จากการพัฒนาฝีมือยาวนานถึง 20 ปี และแม้ว่าจะเปิดให้บริการเพียงไม่นาน แต่ปรากฏได้รับความสนใจ มีคนแห่ไปอุดหนุนกันอย่างเนืองแน่น

อีกฟากหนึ่งของ คุณกอล์ฟ-เดชนันท์ ศรีสกุลภิญโญ ลูกชายคนโตของคุณสมชาย ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากคดีความ และถูกเลิกจ้างออกจากบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาเขาตัดสินใจฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากการถูกเลิกจ้าง แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับ เพราะล่าสุดกรมบังคับคดี ได้อายัดเงินในบริษัทไว้

ที่ปรากฏว่ามีเงินสดคงเหลือเพียง 6,000 กว่าบาท และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชย จึงต้องใช้เงินเก็บส่วนตัว ที่เก็บสะสมมาจากการทำงาน ที่เดิมตั้งใจจะใช้เพื่อจัดงานแต่งงานโดยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่เรื่องนั้นในวันนี้กลายเป็นสิ่งสิ้นเปลืองไปเสียแล้ว จึงตัดสินใจนำมาลงทุนทำร้านอาหารปักษ์ใต้กับแฟนสาว คุณกวาง-ยูนิกา ชุมสุข ซึ่งมีฝีมือในการทำอาหาร เนื่องจากเป็นลูกมือและช่วยคุณแม่มาตั้งแต่เด็ก โดยยึดทำเลในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ใช้ชื่อร้าน “ข้าวแกง สะตอ เบอร์รี่”

“ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาขายอาหาร อาชีพที่ไม่คุ้นเคย และค่อนข้างไกลตัวมาก ถึงคุณพ่อจะสอนให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ แต่ก็ไม่เคยอยู่แบบนี้ ในวันที่เราต้องช่วยกันประหยัด ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างได้ และทำทุกวันให้ดี คุณพ่อจะสอนเรื่องการจัดการ การใส่ใจในรายละเอียดความต้องการของลูกค้า คุณพ่อบอกว่า ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม ลูกค้าต้องได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด ผมไม่เคยทำอาหารเลย แต่เป็นนักชิมที่ดี ทุกวันนี้ยังมีหน้าที่ชิมเหมือนเดิม เพียงแต่วันนี้ ชิมเพื่อเป็นต้นทางให้ลูกค้า มีความพอใจสูงสุด อาหารทุกเมนู ต้องชิม จนคิดว่าอร่อยที่สุดแล้ว จึงจะบอกว่าผ่าน และเป็นเมนูของร้านได้” คุณกอล์ฟ พูดไปยิ้มไป

ก่อนเล่าต่อ เขากับแฟนสาว หาทำเลกันอยู่หลายที่ ตั้งแต่แถวบางแค ฝั่งธนบุรี จนมาจบที่แจ้งวัฒนะ 14 เพราะเป็นแหล่งชุมชน มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น เลยเช่าทั้งหลัง 4 ชั้น และเพื่อเป็นการประหยัด จึงพักอาศัยไปด้วยเลย เริ่มแรกคุณพ่อช่วยออกแบบแก้ไขพื้นที่ภายในร้านให้ และเดินทางไปเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สเตนเลสและเครื่องมือในครัวจากประเทศจีน เนื่องจากราคาถูกกว่าที่เมืองไทยหลายเท่า โดยที่คุณพ่อออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ ส่วนเขาติดต่อหาช่าง และวัสดุก่อสร้างในประเทศไทย ส่วนชั้น 2 ก็เตรียมไว้สำหรับการขยายเพิ่มเติม ชั้น 3 และ ชั้น 4 เป็นห้องพัก

ด้านคุณกวาง สาวปักษ์ใต้ร่างเล็ก หน้าคมเข้ม นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ บอกเล่าเพิ่มเติมว่า คลุกคลีกับการทำและการขายอาหารปักษ์ใต้มา 15 ปี โดยช่วยคุณแม่ขายอยู่ที่หลังศูนย์ราชการ ติดกับเคหะหลักสี่ ขายดีมาก ตัวเองเป็นทั้งเป็นลูกแม่ และลูกมือมาตั้งแต่เด็ก รู้กระบวนการขั้นตอนการปั่น โขลกพริกแกง แม่บอกทุกสูตรเด็ด ฝีมือช่วงแรกอาจจะสู้แม่ไม่ได้ แต่จากการคลุกคลี สู่การปรุงแทน วันนี้ แม่ทำอร่อยยังไง ลูกก็ทำได้แบบนั้น และในบางเมนู เธอคิดขึ้นมาเพิ่ม เพื่อประยุกต์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า รวมถึง การขยายฐานลูกค้า ที่ไม่ได้รอเพียงกลุ่มวอล์กอิน แต่ต้องวอล์กเข้าไปหาลูกค้าด้วย มีการออกร้าน และมีเพจ “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่แจ้งวัฒนะ 14” เพื่อโปรโมทร้านค้าอีกทาง รวมถึงการให้บริการส่งตรงถึงบ้าน รับออร์เดอร์ผ่านทางเพจ ซึ่งมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน

คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
คุณกอล์ฟ-คุณกวาง
5

คุณกวาง บอกว่า ทุกเช้าจะไปจ่ายตลาดเอง ต้องหาวัตถุดิบเองเพื่อควบคุมคุณภาพ และที่สำคัญ จะลดการรั่วไหลของต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลองผิดลองถูกกันอยู่หลายเดือน กว่าที่จะรู้ว่า ของที่ซื้อมาหลายอย่างนั้น แพงกว่าแหล่งผลิตถึง 3 เท่า ธุรกิจร้านอาหาร มีฝีมือ ทำอาหารอร่อยอย่างเดียวไม่พอ เพราะจะมีต้นทุนต่างๆ เยอะมาก โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบ หากไม่ได้ซื้อในแหล่งที่ถูกก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ก่อนหน้านี้ ได้ไปเดินงาน THAIFEX ทำให้ได้รู้จักกับผู้ผลิตหลายคน ทำให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดี ราคาถูก นอกจากนี้ กวางก็จะไปจ่ายตลาดเองตั้งแต่เช้ามืดที่ตลาดยิ่งเจริญ และใช้เครดิตของแม่ คือ การที่แม่แนะนำร้านวัตถุดิบที่แม่ซื้อมานานจนคุ้นเคยกันมา 17 ปี ทำให้ลดต้นทุนบางอย่างลงไปได้มาก ส่วนเนื้อหมู สั่งมาจากฟาร์มหมูที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย ซึ่งร้านหมูจะอยู่ไม่ไกลจากร้านของเราเท่าไหร่ค่ะ”

คุณกวาง เผยถึงตรงนี้ คุณกอล์ฟ จึงพูดเสริมด้วยแววตาเป็นห่วงคนรักที่นั่งอยู่เคียงข้างว่า

“ผมสงสารกวางนะ เขาต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปตลาด แต่บอกเขาว่าให้อดทน เขาเคยบอกว่า อยากไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ผมก็บอกว่า เราพยายามทำให้ร้านอยู่ตัวก่อน เรื่องเที่ยวพักผ่อน ไปตอนไหนก็ได้ ตอนนี้ยังลำบากกันอยู่ต้องสู้กันอีกสักนิด เราต้องพิสูจน์อะไรหลายอย่าง เพื่อให้ธุรกิจที่ทำด้วยกันไปได้”

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจนั้น มีผลกระทบต่อยอดขาย แม้ความอร่อย คุณภาพ จะไม่ได้ลดลง แต่จำนวนของลูกค้าประจำ ที่เคยพักอาศัยอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 14 ที่ลดลง เนื่องจากถูกเลิกจ้าง จึงต้องย้ายออกไป ร้านค้าที่อยู่ในซอยเดียวกันหลายร้านเป็นเหมือนเพื่อนบ้านรู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มมาเปิดร้านในช่วง 2 ปี ซึ่งล้มเลิกกิจการไปไม่น้อย ดังจะเห็นป้ายให้เช่าที่มีให้เห็นตลอดซอย ส่วนที่ร้านของพวกเขาเอง ยอดขายลดลงบ้าง แต่ลูกค้าประจำยังเหนียวแน่น ทำให้พออยู่ได้ เนื่องจากราคาไม่ได้สูงมากนัก และลูกค้าติดรสชาติและมีการบอกต่อ

สำหรับเมนูเด็ด ที่คุณกวาง บอกว่า ลูกค้าจะสั่งซ้ำเสมอ คือ น้ำยาปู ซึ่งขายอยู่ชุดละ 80 บาท ถ้าเป็น น้ำยาปู + ไข่ปู ชุดละ 120 บาท ส่วนเมนูข้าวแกงที่ขายดีมากคือ ผัดหมูกะปิ ปลาแดงทอดขมิ้น คั่วกระดูกหมู ผัดเผ็ดสะตอ ฯลฯ รับประทานได้ทั้งครอบครัว ราคาไม่แพง ลูกค้าส่วนใหญ่บอกว่า “อร่อยทุกเมนู”

หากท่านใด มองหาร้านอาหารอร่อย แวะไปที่ร้าน “สะตอ เบอร์รี่ ข้าวแกงเมืองคอน” เข้าซอยแจ้งวัฒนะ 14 ไปเพียง 400 เมตร อยู่ฝั่งซ้ายมือ ตึกสีชมพู หรือสั่งซื้อผ่าน ไลน์แมน วงใน LINE MAN Wongnai ได้โดยพิมพ์ชื่อร้าน “ข้าวแกงสะตอเบอร์รี่” หรือพิมพ์ค้นหาร้าน “ข้าวแกง” ใน “เขตหลักสี่” ก็จะพบชื่อร้านติดดีกรีอันดับ 1 ในพื้นที่ รับรองไม่ผิดหวัง

6

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

อายุน้อย-ทุนจำกัด ไม่ใช่อุปสรรค สาวนศ.ผุดไอเดียทำ “หมูกระทะพร้อมทาน” ขายดีวันละ 50 แก้ว!

อีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจของผู้ที่ตั้งใจจริง  “หมูกระทะพร้อมทาน”  เป็นกิจการ หมูกระทะดิลิเวอร์รี่ปรุงสำเร็จบรรจุในแก้วพลาสติก สามารถแกะน้ำจิ้มราดแล้วทานได้เลย ไม่ต้องปิ้งย่างให้เสียเวลา ที่สำคัญสามารถพกพาไปทานที่ไหนก็ได้ เพราะใส่มาในแก้วพลาสติก แบบครบเซ็ต

เจ้าของคือ คุณดาว – ชลธิชา โกติยะ อายุ 21 ปี นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เธอเล่าว่า ปกติทำหมูกระทะทานที่บ้านอยู่แล้ว เพื่อนบอกว่าอร่อย จึงอยากทำร้านหมูกระทะ แต่ด้วยอายุน้อย ยังไม่มีทุนมากพอที่จะเปิดร้าน จึงทำในรูปแบบย่างสำเร็จพร้อมทาน ใส่ในแก้วพลาสติก เพื่อประหยัดต้นทุน

ก่อนเล่าต่อว่า หลังจากเปิดร้าน ผลตอบรับดีเกินคาดคงเพราะราคาถูก แก้วละ 39 บาท คนจึงให้ความสนใจกันเยอะแบบไม่น่าเชื่อ ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 50 แก้ว แต่บางวันขายได้ 80-90 แก้วเลยทีเดียว กลุ่มลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น คิดว่าคนให้ความสนใจเพราะความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร

ถามถึงข้อแตกต่างจากหมูกระทะรูปแบบทั่วไป คุณดาวเผยว่า ลูกค้าสามารถพกพาไปทานที่ไหนก็ได้ สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยเพราะใส่ในแก้วพลาสติก นอกจากนี้ น้ำจิ้มของร้านรสชาติอร่อย ใช้วัตถุดิบสด สะอาด ทำใหม่วันต่อวัน ที่สำคัญราคาไม่แพง ยุติธรรมกับลูกค้า

 

ด้านแผนการตลาด คุณชลธิชา บอกยิ้มๆ

“ตอนนี้อยากขายแบบดิลิเวอร์รี่นี้ไปเรื่อย ๆ ก่อน ยังไม่อยากทำร้าน เพราะเรายังเรียนอยู่ ที่สำคัญ ทุนไม่พอที่จะเปิดร้านใหญ่ ๆ สำหรับอุปสรรคสำคัญในการทำธุรกิจ คือ  ทางร้านขาดกำลังคนในการขนส่ง ยิ่งวันไหน ออเดอร์เยอะ ลูกค้าก็รอนาน เพราะมีคนส่งอยู่ไม่กี่คน”

สนใจอยากอุดหนุน สามารถเข้าไปได้ที่ facebook : shake it dao หรือโทร 080-704-5631 (คิดค่าส่งตามระยะทาง

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

คุณมด – พรวฤณ เหรียญรุ่งโรจน์ วัย 36 ปี

โบกมือลาห้องแล็บ ผันตัวเป็น “ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์” สร้างรายได้ดี ชีวิตมีอิสระ

เมื่อยุคเปลี่ยน อะไรๆ ก็เปลี่ยนตาม การสื่อสารกันในชีวิตประจำวันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน จากการพูดคุย กลายเป็นการพิมพ์คุยกัน และมีการพัฒนาไปถึงการใช้ สติ๊กเกอร์ พูดคุยแทนการพิมพ์ อีกทั้งยังสามารถสื่อสารความรู้สึกให้ผู้รับได้เข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นอาชีพ “ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์” ขึ้น

“เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ได้พูดคุยกับ คุณมด – พรวฤณ เหรียญรุ่งโรจน์ วัย 36 ปี ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ เจ้าของรางวัล สติ๊กเกอร์สุดยอดดาวรุ่งแห่งปี 2019 (RISING STAR OF THE YEAR 2019) เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเห็นผลงานของเธอ อย่าง คาแร็กเตอร์ เกี๊ยวซ่า เด็กสาวแก้มป่อง ที่ตลกและมีความกวนผ่านตากันมาบ้าง

คุณมด กล่าวว่า ก่อนที่จะหันมายึดอาชีพเป็น ครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ เธอเคยทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์มาก่อน แต่มีความรู้สึกว่า ตนเองไม่อยากทำงานประจำ อยากเป็นฟรีแลนซ์ ประกอบกับทางไลน์มีโครงการปั้นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ และตนเองก็เล็งเห็นถึงโอกาส จากจำนวนยูสเซอร์หรือผู้ใช้งานไลน์นั้นมีมาก ซึ่งในประเทศไทยมีถึง 42 ล้านคน ซึ่งหากมีสติ๊กเกอร์ไลน์ไปวางขาย 1 ชุด ก็มีโอกาสที่คนจะโหลดสติ๊กเกอร์นั้นถึง 42 

ล้านคน ซึ่งเรามองว่าอาชีพตรงนี้เป็นอาชีพที่ทำรายได้แบบไม่จำกัด มีความอิสระ สามารถออกแบบชีวิตตัวเองได้หมด จึงตัดสินใจลาออกจากงาน

เธอเล่าให้ฟังถึงช่วงแรกในการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ ว่า ในช่วงที่หันมาวาดครั้งแรก เธอยังไม่มีคาแร็กเตอร์อะไรเลย อาศัยวาดตามความรู้สึก เพราะเธอวาดรูปไม่เก่ง ชุดแรกที่วาดออกมาจึงเป็นคาแร็กเตอร์ง่ายๆ อย่าง มดตะนอย ที่เป็นมดแบบกลมๆ แต่ก็ขายไม่ดีเท่าไหร่นัก

“ตอนเข้ามาทำอาชีพนี้แรกๆ มดวาดรูปไม่เป็นเลยนะ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเราจะทำไม่ได้ ก็มองหาหนทางว่าจะทำยังไงให้วาดรูปได้ เลยไปเรียนวาดรูปด้วยตัวเองในยูทูป ฝึกวาดไปเรื่อยๆ วาดไปขายไป ถ้าขายไม่ดีก็กลับมาดูคลิป แล้วฝึกวาดใหม่ จนมีการพัฒนามาเรื่อยๆ และเห็นว่า คนอื่นที่ทำอาชีพครีเอเตอร์เหมือนกัน แต่เขาประสบความสำเร็จ เขาวาดกันเป็นคาแร็กเตอร์ มดก็เลยคิดสร้างสติ๊กเกอร์แบบคาแร็กเตอร์บ้าง มดก็ดูว่าตลาดต้องการอะไร ก็ปรับสไตล์การวาดคาแร็กเตอร์ออกมาตามนั้นและใส่บุคลิกให้เหมือนมีชีวิตจริงๆ เข้าไป สติ๊กเกอร์ของมดเลยตอบโจทย์ความต้องการ” คุณมด กล่าว

ก่อนหน้านี้ที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอกล่าวว่า เธอมีรายได้ที่ถือว่ามั่นคงอยู่แล้ว แต่การมาทำอาชีพเป็นคนสร้างสติ๊กเกอร์ไลน์นั้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนชีวิตของเธอให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นหลักแสนต่อเดือนเลยทีเดียว

ฟังดูเหมือนเป็นอาชีพที่ทำงานง่าย ได้เงินดี แต่เส้นทางการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คุณมดเล่าให้ฟังว่า ตอนที่วาดขายออกมาจนถึงชุดที่ 20 รายได้ของเธอมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จสูงสุด เธอยอมรับว่ามีท้อแท้เหมือนกัน แต่ก็มองเห็นว่า รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน เขาก็คงเจอและผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกันกว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างที่เห็น เธอจึงตั้งเป้าหมายว่าอยากประสบความสำเร็จให้ได้เหมือนกัน และเมื่อไหร่ที่ท้อ เธอก็จะนึกถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ทำให้มีกำลังใจในการวาดต่อ

“เมื่อก่อนวันๆ หนึ่ง มดวาดได้แค่ 1 แอ๊กชั่นเท่านั้นเอง แต่พอวาดไปเรื่อยๆ มันก็มีความชำนาญ จนสามารถวาดได้ 10 แอ๊กชั่นต่อวัน บางที 1 คาแร็กเตอร์ มดวาด 4 วันก็เสร็จแล้ว หรือถ้าเป็นตัวละครใหม่ๆ อาจจะมีความยากหน่อย ก็ใช้เวลา 10 วันในการวาด 1 ชุด แต่ถ้าเป็นสติ๊กเกอร์ดุ๊กดิ๊กมีเสียง ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการวาด”

จากวันนั้นสู่วันนี้ เป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้วที่ คุณมดหันมาเอาดีทางด้านการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์ โดยออกแบบสติ๊กเกอร์ไลน์ มาแล้วทั้งหมด 39 ชุดแล้ว

66857196_2497697610472571_364777473734344704_n

เกี๊ยวซ่า เป็นคาแร็กเตอร์ตัวที่ 21 ที่วาด ถือเป็นตัวสร้างชื่อและเปลี่ยนชีวิตของมดไปเลย โดยมียอดดาวน์โหลดกว่าล้านเยน มีการเอาไปแปลภาษาแล้วขายที่ไต้หวันกับอินโดนีเซียด้วย คาแร็กเตอร์ตัวที่ทำมาก่อนหน้า ไม่ใช่ขายไม่ได้จนไม่มีรายได้นะคะ มันก็มีรายได้ตลอด เพียงแต่ เกี๊ยวซ่า เป็นตัวสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักขึ้นเท่านั้น แล้วก็มี ยิปโซ หมี่เกี๊ยว ที่เป๋็นพี่สาวกับน้องสาวของเกี๊ยวซ่า ที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน” ครีเอเตอร์ คนเก่ง กล่าว

จุดที่ทำให้คุณมดประสบความสำเร็จในการเป็นครีเอเตอร์ สติ๊กเกอร์ไลน์  เธอกล่าวว่า เป็นเพราะเธอมีการพัฒนาฝีมืออยู่ตลอด และเดินในเส้นทางนี้ไม่หยุด เธอจะคอยดูอยู่ตลอดว่าตลาดชอบอะไร และคอยปรับตัวไปตามตลาด

“การมีทัศนคติบวกเป็นเรื่องสำคัญสุด ตอนมดเข้ามาแรกๆ เราวาดรูปไม่เป็น แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามดจะวาดรูปไม่ได้ ก็มองหาหนทางว่าเราจะวาดรูปได้ยังไง มดเลยไปเรียนวาดรูปด้วยตัวเองในยูทูป ฝึกวาดไปขายไป ดูคลิปแล้วก็มาวาด ถ้าขายไม่ดีก็มาดูใหม่ อยู่ในเส้นทางนี้ต้องวาดไม่หยุด ต้องวาดขายทุกเดือน เป็นการดูตลาดไปด้วย” คุณมด กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ผู้เขียน : พัชรพร องค์สรณะคมกุล

อภัยภูเบศร แจกสูตร “เอแคลร์อัญชัน” ขนมเพื่อสุขภาพ อร่อย มากประโยชน์

“เอแคลร์อัญชัน” สูตรจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สำหรับผู้สนใจลองทำทานดูที่บ้าน หรือบางท่านอาจอยากลองทำขายก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะสำรวจด้วยสายตาในท้องตลาดยามนี้ ยังไม่เห็นมีใครทำขาย

ส่วนผสมตัวแป้ง : แป้งเค้ก 120 กรัม เนยสดอ่อนตัว 90 กรัม น้ำ 186 กรัม ไข่ไก่ 186 กรัม

ส่วนผสมไส้ครีม : ไข่ไก่ 100 กรัม แป้งข้าวโพด 60 กรัม นมผง 60 กรัม นมข้นจืด 220 กรัม น้ำตาลทราย 160 กรัม น้ำต้มดอกอัญชัน  500 กรัม เนยสด 50 กรัม กลิ่นวานิลลา หรืออื่นๆ ตามชอบ

 

วิธีทำ

1.ร่อนแป้งเค้ก 3 ครั้ง ต้มน้ำให้เดือดใส่เนย ใส่แป้งที่ร่อนแล้วลงไป กวนให้เป็นก้อนจนแป้งสุก

2.นำแป้งที่ได้เข้าเครื่องตี ใส่ไข่ ตีด้วยความเร็วปานกลาง จนแป้งเข้ากันดี จะมีลักษณะหนืดเล็กน้อย

3.ตักใส่ถุงบีบ ทาเนยที่ถาด บีบเป็นช่อ วนประมาณ 3 รอบพอดี

4.เอาเข้าเตาอบ ไฟ 200 องศาเซลเซียส 15 นาที จะสังเกตเห็นว่าตัวเอแคร์พองขึ้นเป็นโพรงตรงกลาง

5.กวนไส้ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกัน และกวนด้วยไฟอ่อนๆ จนสังเกตเห็นแป้งสุกเป็นมันจึงยกลง และหยอดในตัวแป้งที่เตรียมไว้

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอัญชัน เป็นข้อมูลจากทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ระบุว่า อัญชันเป็นสมุนไพรในตำรับยาของอายุรเวท ซึ่งมีอายุกว่า 3,000 ปี นิยมใช้รากมากกว่าส่วนอื่นๆ ใช้ชนิดดอกขาวมากกว่าดอกม่วง ใช้รักษาโรคทางตา (เช่นเดียวกับการแพทย์แผนไทย) โรคทางสมอง ระบบประสาท หอบหืด

สีจากดอกอัญชันนิยมแต่งสีน้ำเงินในขนม เช่น ขนมเรไร ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ ขนมชั้น สามารถเปลี่ยนให้เป็นสีม่วง โดยนำดอกอัญชัน มาเติมน้ำเล็กน้อย กรองคั้นเอาแต่น้ำซึ่งเป็นสีน้ำเงิน เติมมะนาวลงไปเล็กน้อยจะได้สีม่วง

น้ำอัญชัน ชาอัญชัน ดื่มแก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย ดอกอัญชันกินเป็นผักสดหรือลวกจิ้มกับน้ำพริก น้ำบูดู หรือนำมาชุบแป้งทอดราดน้ำจิ้ม จะนำมาซอยเป็นฝอยๆ ใส่ลงไปเจียวกับไข่ก็ได้ น้ำดอกอัญชันสามารถนำมาหุงข้าว จะได้ข้าวสวยหอมๆ ร้อนๆ สีสันสวยงาม

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

อดีตชาวนา หันทำ “ขนมถ้วย” ขาย รายได้ดี จนส่งลูกเรียนจบป.ตรี

“เส้นทางเศรษฐีออนไลน์” ได้ลองทานขนมถ้วยเจ้าอร่อยเจ้าหนึ่ง ที่คนขายมักจะขี่รถพ่วงข้างมาขายแถวหน้าบริษัทในตอนประมาณเที่ยงๆเสมอ เมื่อจอดรถได้สักพัก จะมีพนักงาน รวมถึงคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ทยอยกันเข้ามาซื้อขนมกันไม่ขาดช่วง

คุณพนม – พนมศักดิ์ ก้านอินทร์ หรือ ลุงพนม พ่อค้าขายขนมถ้วย วัย 51 ปี ได้ให้สัมภาษณ์ไปแกะขนมถ้วยไปพรางว่า ตนนั้นขายขนมถ้วยมาได้ 21 ปีแล้ว ก่อนจะมาขายขนมถ้วย เดิมก็ทำไร่ทำนาอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ แต่ก็ต้องเลิกทำนาไป เพราะเจอเข้ากับปัญหาฝนแล้ง ทำให้ปลูกข้าวไม่ค่อยได้ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซบเซา

“ข้าวมันไม่ค่อยมีราคานังหนู ทำมาได้แค่พอกิน จะทำไว้ขายมันก็สร้างเนื้อสร้างตัวลำบาก” ลุงพนมแกว่ามาแบบนั้น

วันหนึ่ง ไปรับขนมถ้วยจากเจ้าหนึ่งมาขาย ซึ่งเป็นขนมถ้วยสูตรโบราณ จากสุพรรณบุรี ก็อยากให้เขาสอนสูตรให้เพื่อจะได้ออกมาทำขายเอง ก็ได้พูดทีเล่นทีจริงหยอกไป แต่กลับไม่ยอมสอน บอกเพียงว่า “ถ้าอยากเป็นก็มาหัดเอาเอง” ตนจึงตัดสินใจเข้าไปช่วยงานที่ร้านขนมถ้วยร้านนั้น

ลุงพนมบอกว่า เมื่อตนไปช่วยงานในร้าน เขาก็ไม่สอนอะไรจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นไม่ให้ตนไปเรียนรู้ ตอนที่เขาทำๆกัน ลุงพนมก็อาศัยครูพักลักจำ ว่ามีส่วนผสมอะไร ใส่อันนี้เท่าไหร่บ้าง นึ่งยังไง ไปช่วยได้พักหนึ่ง เขาเลิกกิจการ ตนจึงได้ออกมาทำขนมถ้วยเอง

“ขนมถ้วยลุง มีแต่กะทิใบเตย เป็นขนมถ้วยสูตรโบราณ ใช้กะทิสด ส่วนแป้งทำขนมก็เป็นแป้งสด ที่เราไปซื้อข้าวเจ้ามาแช่เอาไว้ข้ามคืน แล้วตื่นมานั่งโม่ตั้งแต่ตี 3 ทำเสร็จก็พ่วงออกขายตอนประมาณ 7 โมง บ่ายๆก็ขายหมดแล้วแหละ ตอนแรกๆก็ทำขายเยอะอยู่นะ ขาย 7 ถ้วย 5 บาท แต่การเวลาเปลี่ยน เศรษฐกิจก็เปลี่ยน ก็ค่อยๆลดจำนวนการผลิตลง เหลือวันละ 1,200 ถ้วย ทำเอาแต่พอขาย ไม่งั้นถ้าขายไม่หมด ของก็ต้องทิ้ง กำไรก็หาย ถ้าขายแพงขึ้น คนก็ไม่ซื้อ ก็ไม่ได้ทั้งกำไรทั้งทุน เพราะเราคิดแบบนี้มาตลอด จนสามารถส่งลูกๆ 3 คนเรียนจบปริญญาตรีกันไปหมดแล้ว” ลุงพนม กล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจ

ลุงพนมลงทุนค่าของ อย่าง กะทิ เกลือ น้ำตาล ไปประมาณ 1,500 – 1,600 บาทต่อวัน ขายได้กำไร 4 – 5 ร้อย แกบอกว่า “ลุงไม่มีภาระอะไร ขายได้กำไรแค่นี้ก็พอใจแล้ว ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร มีความสุขดี”

ขนมถ้วยแป้งสด กะทิสด สูตรโบราณ ของลุงพนม รสชาติหวาย มัน นุ่มหอม และอร่อยสมคำเคลมของลุงจริงๆ แกขายแค่กล่องละ 20 บาท มี 10 ถ้วย ลุงพนมขายอยู่บริเวณตลาดประชานิเวศ 1 หน้าบริษัทข่าวสดและมติชน นอกจากนั้นลุงพนมยังรับสั่งทำด้วย แต่ต้องมารับที่บ้านลุงเอง หากใครสนใจสามารถโทรไปสอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์ (085)1366862

2
ปก

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

ผู้เขียน : พัชรพร องค์สรณะคมกุล