“ซีตาร์” (Cheetah) ถูกขนานนามให้เป็น เจ้าแห่งความว่องไว และยังเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามน่าเกรงขาม จากความน่าหลงใหลดังกล่าว โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์ (Lotus Arts de Vivre) แบรนด์จิวเวลรี่และของตกแต่งบ้านสัญชาติไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ได้นำความงดงามของซีตาร์มาถ่ายทอดสู่คอลเลกชั่นพิเศษ

รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น Cheetah Collection (ซีตาร์ คอลเลกชั่น) ซึ่งมีทั้งของแต่งบ้านและจิวเวลรี่ดีไซน์โก้ ให้เลือกครอบครองได้อย่างน่าสนใจ โดยได้แรงบันดาลใจจาก หนังสือ A Cheetah’s Tale พระนิพนธ์ของ เจ้าหญิงไมเคิลแห่งเคนต์ เล่าเรื่องราวความผูกพันของท่านกับเจ้าเสือชีตาร์ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดซึ่งทรงเลี้ยงสมัยเมื่อทรงพระเยาว์

Cheetah Collection ยังคงเอกลักษณ์ของแบรนด์ โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์ ได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วย ซีตาร์เงินแกะสลักอย่างปราณีต ผสานเข้ากับวัสดุหลากหลาย อาทิ ไม้ เขาสัตว์ เปลือกหอย ผ่านดีไซน์ที่ดึงความโก้ หรู และสง่างามของซีตาร์ ในรูปแบบ จิวเวลรี่ อย่าง แหวนไม้ กำไลลูกปัดไม้ ทำจากไม้มะเกลือสีดำ ช่วยเติมเต็มลุคในแต่ละวันให้พิเศษยิ่งขึ้น ในขณะที่ของแต่งบ้านใน ซีตาร์ คอลเลกชั่น สามารถเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้าน

ให้แลดู เรียบ หรู และมีสไตล์มากขึ้นเลยทีเดียว

มาอัพเดทแฟชั่นไอเทมและของแต่งบ้านมหลากหลายดีไซน์ได้ที่ www.lotusartsdevivre.com, Instagram @ lotusartsdevivre หรือ โทร. 02-250-0732

เพราะเจ้าของร้านเป็นคนคุยเก่ง คุยสนุก และตรงไปตรงมา จึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการดึงดูดลูกค้าให้อยากแวะมาคุยและมาที่ร้านของเธอ ที่ชื่อว่า “ถนิมพิมพา (พรรณ)” คำว่า “พรรณ” ในวงเล็บมาจาก “วรพรรณ” ชื่อของเธอเองโดยให้เหตุผลว่าที่ต้องมี (พรรณ) เป็นเพราะชื่อร้านถนิมพิมพามีคนใช้เยอะมาก กลัวลูกค้าจะสับสนจึงต้องมีวงเล็บไว้ ร้านนี้เป็นร้านขายอัญมณีและเครื่องประดับทองคำชิ้นมหึมาเป็นเอกลักษณ์ และบอกได้เลยว่าเกือบๆ จะเป็นของที่มีแค่ชิ้นเดียวแทบทุกอย่างในร้าน ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บรรดาไฮโซ และลูกค้าไฮเอนด์ทั้งหลาย ยอมมาเป็นลูกค้าของที่ร้านนี้

“พรรณ” หรือ ชื่อจริงนามสกุลจริง “วรพรรณ ขำสม” เจ้าของร้าน เทือกเถาเหล่ากอมีพื้นเพเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อแต่งงานแล้วได้ย้ายตามสามีไปอยู่จันทบุรี ซึ่งทำให้ชีวิตต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเพชรพลอย เพราะพอคนรู้ว่าเธออยู่จันทบุรีมักชอบสั่งทำเครื่องประดับบ้าง หาแหวนให้บ้าง หาพลอยให้บ้าง กระทั่งเจ้าตัวคิดว่าเปิดร้านเองเสียเลยจะดีกว่า ดังนั้น จุดเริ่มต้นในตอนแรกจึงเป็นการเปิดร้านขายอัญมณีและเครื่องประดับที่จันทบุรี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมโครงการกับอุตสาหกรรม-e

จังหวัดเวลามีงาน หรือออกบูธตามจังหวัดต่างๆ ทำให้ธุรกิจของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ไปเปิดร้านขายที่สวนจตุจักร แต่เปิดขายได้แค่สองวัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ ดังนั้น เธอจึงย้ายร้านมาเปิดในตลาดบองมาร์เช่ ถนนประชานิเวศน์ แทน

นอกจากที่ตลาดบองมาร์เช่แล้ว ยังมีร้านที่เป็นของตัวเอง คือเป็นทั้งร้านและบ้านอยู่อาศัย ไม่ไกลจากตลาดบองมาร์เช่นัก ตรงข้ามคอนโดประชานิเวศน์ 1 หรือตึกท็อปซูเปอร์มาร์เก็ต ติดกับร้านกาแฟซันเฮ้าส์  สังเกตง่ายๆ ทางเข้าร้านเเป็นประตูบานใหญ่สีแดงแปร๊ด ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

คุณพรรณ เล่าว่าก่อนจะมาเปิดร้านเป็นของตัวเองเช่นทุกวันนี้ ได้เปิดร้านในตลาดบองมาร์เช่มาก่อน เธอและสามีทำร้านอัญมณีเครื่องประดับพร้อมกับขายจำพวกสร้อยลูกปัดโบราณ โดยสามีเป็นคนออกแบบและเสาะหาวัสดุมาทำ เลือกเฉพาะที่เป็นของโบราณจริงๆ สามารถพูดได้ว่าเวลานี้ลูกปัดที่จะใช้ทำเครื่องประดับไม่มีใครเก็บได้มากเท่าของที่เธอมีอยู่ตอนนี้ เพราะเก็บมานานกว่า 20 ปีแล้ว นอกจากเครื่องทอง เงิน และลูกปัดโบราณแล้ว ถึงตอนนี้ขยับมาขายของอื่นๆ ด้วย อาทิ ผ้าซิ่นและผ้าไทยโบราณ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เธอรักและชอบอีกเหมือนกัน

“ของทุกอย่างในร้านพวกเครื่องทอง เงิน และลูกปัด แทบจะพูดได้ว่าเป็นของที่มีชิ้นเดียว เพราะเราทำขึ้นเองกับมือ และลูกค้าที่เดินเข้าร้านมาส่วนมากแล้วเขาต้องการของชิ้นเดียวไม่ซ้ำกับใคร ซึ่งร้านเราสามารถสนองความต้องการตรงนี้ได้  อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะมีสินค้าสำหรับลูกค้าไฮเอนด์เท่านั้น ของชิ้นราคากลางๆ จับต้องได้ก็มีเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นของที่คัดเลือกแล้วว่าดีที่สุด สวยงามและมีคุณภาพ เราก็มีในร้านเช่นกัน อย่างผ้าจากอินเดียแบบด้นมือ สินค้าจำพวกคราฟท์ ทั้งฝ้ายทั้งไหม กระเป๋าชนเผ่า เป็นต้น” เจ้าของร้านกล่าว

ปีใหม่ผ่านไปไม่นาน แต่บรรยากาศยังอบอวลด้วยการกล่าวคำอวยพรและมอบของขวัญเรื่อยไปจนถึงเทศกาลตรุษจีน หากอยากให้ของขวัญชิ้นพิเศษแก่คนพิเศษ ลองแวะเคาะประตูพูดคุยกับเจ้าของร้าน “วรพรรณ ขำสม” รับรองถ้าไม่ได้ของติดไม้ติดมือกลับบ้านสักชิ้น รับรองไม่ใช่ ถนิมพิมพา (พรรณ)

คุณวรพรรณ ขำสม

สัมผัสประสบการณ์การชมแฟชั่นโชว์อันแสนน่าประทับใจพร้อมจิบน้ำชายามบ่ายแสนหอมกรุ่นที่สร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษจากความงดงามของเครื่องประดับแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี ‘มิสซิส’ (MISIS) โดย ดร. ฐิติพร สถาวรมณี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซตเต้ เพคคาติ จำกัด มัลติแบรนด์สโตร์ชั้นนำผู้นำเข้าเครื่องประดับดีไซน์เก๋จากประเทศอิตาลีแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ได้จัดงาน “มิสซิส เจ็ม ออฟ เดอะ ซี” (MISIS Gems of the Sea) เปิดประสบการณ์การชมจิวเวลรี่อย่างเหนือระดับกับแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นล่าสุดจากแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ที่สร้างสรรค์แรงบันดาลใจในการออกแบบจากความงดงามใต้ท้องทะเล พร้อมสะท้อนเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้านงานดีไซน์รูปแบบใหม่ผ่านการรังสรรค์ชุดน้ำชายามบ่ายรสเลิศทั้งเมนูคาวหวานโดยเชฟมากฝีมือจากโรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ ที่บริเวณเซนต์ รีจิส บาร์ ชั้น 12 เมื่อบ่ายวันก่อน

โดยงานครั้งนี้ถือว่ามีความเอ็กซ์คลูซีฟเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติจาก มร.โลเรนโซ กาลันตี (Mr. Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทยเข้าร่วมงาน พร้อมกันนั้นยังมีไฮไลท์พิเศษจากดีไซน์เนอร์สาวมากฝีมือ กรัชเพชร อิสสระ ครีเอทีฟไดเร็คเตอร์แบรนด์เสื้อผ้า ‘เข็มอิสสระ’ (KEMISSARA) มาร่วมสร้างความน่าประทับใจให้กับโชว์ด้วยการรังสรรค์ชุดสวยเพื่อนำเสนอคอลเลกชั่นของ ‘มิสซิส’ นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติ

จากเหล่าสาวสวยเซเลบริตี้แถวหน้ามาร่วมสร้างสีสันเป็นนางแบบถ่ายทอดความงดงามของเครื่องประดับ อาทิ หม่อมราชวงศ์แม้นนฤมาส ยุคล, ปาวา นาคาศัย, เขริกา โชติวิจิตร,          สรัย วัชรพล, ภิรญา สิงหะ, นิโคล กิตติวัฒน์, วีรานันท์ สดากรวงศ์วัชร์, ภัทรศยา ยงรัตนมงคล และมาลินี โคทส์

และยังมีเหล่าแฟนคลับแบรนด์ที่ตบเท้าเข้าร่วมงานเพื่อยลโฉมกับความอลังการของแฟชั่นโชว์พร้อมดื่มด่ำการลิ้มรสชุดน้ำชายามบ่ายชั้นเลิศอย่างคับคั่ง อาทิ จริยดี สเปนเซอร์, กรกนก        ยงสกุล, พลอย จริยะเวช, ยุวเรต ศรุตานนท์, เมลนีย์ อยู่วิทยา, ชวมณฑ์-ภณภิสา ปวโรดม, รัสวดี ควรทรงธรรม, นวดี โมกขะเวส, ปรมา ไรวา, มธุนาฏ ซอโสตถิกุล, จุฬาลักษณ์  ปิยะสมบัติกุล, พลอย ปิ่นแสง, ญาณินท์ วีระไวทยะ, ยลวารี สัตยนาวิน, ภิพัชรา แก้วจินดา, สรัญรัชต์ สุทธินาค และอีกมากมาย

‘มิสซิส’ (MISIS) แบรนด์เครื่องประดับจากเมืองวิเซนซ่า (Vicenza) ประเทศอิตาลี ที่ก่อตั้งขึ้นปีค.ศ.1986 โดย ‘อัลแบร์โต้ เปียสเซริโก’ (Alberto Piaserico) ซึ่งได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในแวดวงเครื่องประดับ ที่ครองใจหญิงสาวมาแล้วทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์การออกแบบอันโดดเด่นที่เต็มไปด้วยจินตนาการและไอเดียอันสดใหม่ มีความทันสมัยสอดคล้องกับเทรนด์แฟชั่นในแต่ละฤดูกาล สะท้อนผ่านความงดงามจิวเวลรี่คุณภาพสูงภายใต้การรังสรรค์ผลงานจากช่างฝีมือผู้มากด้วยประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรูปแบบเฉพาะของเครื่องประดับ ‘มิสซิส’ ที่ทุกคนต่างจดจำ โดยร้านสาขาแรกถูกเปิดขึ้น ณ ใจกลางเมืองเวโรน่า (Verona) จากการพัฒนาแบรนด์อย่างไม่หยุดยั้งส่งผลให้ ‘มิสซิส’ (MISIS) เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้การยอมรับจากศูนย์การค้าชั้นนำมากมาย รวมถึงยังเป็นแบรนด์ที่เหล่าคนดังต่างเลือกสวมใส่เข้าร่วมงานระดับโลกอย่างแกรมมี่ อวอร์ด ณ มหานครลอสแอนเจลิส อีกด้วย

โดยแรงบันดาลใจหลักสำหรับการสร้างสรรค์เครื่องประดับของแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) นั้นล้วนถูกถ่ายทอดมาจากสีสันของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ แง่มุมความสุขในการใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ของหญิงสาวอันโดดเด่น ซึ่งจะถูกตีความแตกต่างกันออกไปตามคอนเซ็ปต์การดีไซน์ของแต่ละคอลเลกชั่น ผ่านการรังสรรค์สีสันของจิวเวลรี่อันแสนงดงามที่แฝงไว้ซึ่งนัยยะอันยอดเยี่ยม ที่ในบางครั้งดูประชดชันหรือในบางครั้งก็เต็มไปด้วยความนุ่มนวล เรียกได้ว่าเป็นเครื่องประดับที่สามารถนำเสนอถึงเอกลักษณ์ความแตกต่างของหญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี

ดร.ฐิติพร สถาวรมณี กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า “มิสซิสเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่ดีไซน์มีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างชัดเจน ด้วยรูปแบบของงานดีไซน์ที่มีการผสมผสานวัสดุหลากหลายแบบเข้าด้วยกัน ทั้งอัญมณี หินสี ที่ต้องใช้เทคนิคการประดับที่ประณีต ดังนั้นสำหรับการนำเสนอ 5 คอลเลกชั่นใหม่ครั้งนี้เราจึงอยากสร้างความแตกต่างให้กับการชมเครื่องประดับ ที่นอกจากการทำแฟชั่นโชว์ให้น่าสนใจแล้ว เรายังสร้างสรรค์เซ็ตน้ำชายามบ่าย ที่สะท้อนเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้านงานดีไซน์จากเครื่องประดับคอลเลกชั่นล่าสุดของแบรนด์ ซึ่งทั้ง 5 คอลเลกชั่นนี้ มีแรงบันดาลใจหลักมาจากความงดงามใต้ท้องทะเลที่แฝงลูกเล่นงานดีไซน์เอาไว้มากมาย จึงเกิดเป็น ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ เมนูอาหารคาวหวานที่เตรียมไว้ให้ทุกคนได้ชิมและยลโฉมเครื่องประดับไปพร้อมๆ กัน”

โดยคอลเลกชั่นใหม่ของ ‘มิสซิส’ (MISIS) ที่เปิดตัวในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันยังเป็นคอนเซ็ปต์ในการสร้างสรรค์ชุดน้ำชาสุดพิเศษนั้น ประกอบไปด้วย 5 คอลเลกชั่น เริ่มจาก คอลเลกชั่น ‘รีฟ ปาร์ตี้’ (Reef Party) สะท้อนความงดงามจากแนวปะการังที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าค้นหา แต่ยังแฝงไว้ซึ่งประกายความสดใสเหนือจินตนาการ รวมถึงสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายที่ติดอยู่กับแนวปะการังอันงดงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็น ปลาดาวสีสด ปะการังสีแดง และเปลือกหอยสีทอง โดยความงดงามดังกล่าวทางทีมออกแบบได้ถ่ายทอดเป็นชิ้นเครื่องประดับดีไซน์เก๋ที่สร้าง ลูกเล่นด้วยเส้นสายโมเดิร์นซึ่งสะท้อนถึงความสวยงามของปะการังพร้อมแต่งแต้มสีสันด้วยรูปทรงปลาดาวซึ่งมาในชิ้นเด่นอย่างสร้อยคอ ต่างหู และแหวน บนโทนสีแดง สีขาว สีฟ้า และสีชมพู พร้อมเติมเต็มลุคให้หญิงสาวผู้มีไลฟ์สไตล์อันโฉบเฉี่ยวได้มั่นใจในทุกโอกาส โดยคอลเลกชั่นนี้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจหลักของการดีไซน์ธีมตกแต่งของชุดน้ำชายามบ่ายในครั้งนี้

ถัดมาที่ คอลเลกชั่นแอมา’ (Ama) คอลเลกชั่นสไตล์เฟมินีนที่ได้แรงบันดาลใจจากอิสตรีแห่งท้องทะเลผู้มีความชำนาญด้านการดำน้ำ เพื่อเสาะหาเปลือกหอยชนิดต่างๆ ซึ่งนับเป็นประเพณีการดำน้ำที่ปรากฎขึ้นเมื่อราวสองพันปีก่อน และมักถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของจิตรกรและนักประพันธ์ รวมถึงแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ด้วยเช่นกัน ซึ่ง    คอลเลกชั่น ‘แอมา’ (Ama) นี้ทางแบรนด์ได้เลือกใช้แมททีเรียลอย่างอัญมณีแคลเซโดนีสีฟ้า (Blue Chalcedony) เปลือกหอยสีขาวและสีส้มเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างงดงาม พร้อมประดับด้วย      คิวบิค เซอร์โคเนียสีขาว (White Cubic Zirconia) และไวท์ อเกตสีขาวนวล (White Agate)  เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์แห่งสีสันให้กับหญิงสาวผู้สวมใส่ที่ถ่ายทอดลงบนจิวเวลรี่ชิ้นเด่นอย่างต่างหู รูปทรงเปลือกหอยที่ห้อยระย้าซึ่งประดับด้วยหินสี จิวเวลรี่สีทองรูปม้าน้ำ และปลาดาว รวมถึงสร้อยคอเฉดสีทองที่มาในดีเทลของการสร้างเลเยอร์พร้อมประดับด้วยจิวเวลรี่รูปทรงเปลือกหอย ม้าน้ำ ปลาดาว และสร้อยคอเส้นยาวที่ประดับด้วยอัญมณีแคลเซโดนีสีฟ้า (Blue Chalcedony) อันโดดเด่น โดยเอกลักษณ์ของเครื่องประดับคอลเลกชั่นนี้ได้ถูกรังสรรค์ให้เกิดเป็นเมนูชั้นเลิศของ ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ (Gems of the Sea Afternoon Tea) ได้แก่ Edible Oyster Shells, Avocado Crème, Salmon Pearls ที่นำเสนอความหอมอบอวลของครีมอโวคาโดเสริมรสชาติด้วยไข่ปลาแซลมอนได้อย่างอร่อยลงตัว รวมถึง Blue Curacao Bubbles มูสช็อคโกแลตสีน้ำทะเลรสนุ่มชุ่มลิ้นที่มาพร้อมลวดลายอันพริ้วไหวผสานความโค้งมนดุจเกลียวคลื่น สะท้อนความมีชีวิตชีวาของท้องทะเลและความทรงจำอันแสนสดชื่นในช่วงฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี

คอลเลกชั่นต่อมา ‘โปซีตาโน’ (Positano) มนต์เสน่ห์ความงดงามแห่งท้องทะเลจากเมืองโปซีตาโน ชายหาดที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาแห่งประวัติศาสตร์ของแคว้นทัสคัน (Tuscan) ด้วยผืนฟ้าสีน้ำเงินโคบอลต์ที่ตัดกับหาดทรายสีขาวและบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ที่อบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวาของผู้คนและนักท่องเที่ยว ได้ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคอลเลกชั่นนี้ ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์ทะเลและดอกไม้นานาพรรณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันอันน่าสนใจ บนดีไซน์ของจิวเวลรี่รูปปูที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางหินปะการังสีน้ำเงินเคลือบเรซิ่นที่ผสมผสานเข้ากับอัญมณีได้อย่างลงตัว ซึ่งมีชิ้นเด่นเป็นกำไลข้อมือพลอยกรีน อเกต (Green Agate) และเทอรคอยส์ (Turquoise) ที่มาในโทนสีเขียวน้ำทะเล และโทนสีฟ้าสดใส พร้อมประดับด้วยจิวเวลรี่รูปทรงปลาดาวและปูสีทอง รวมถึงต่างหูสตั๊ดรูปปูที่ประดับด้วยอัญมณีกรีน อเกตสีเขียว พร้อมเติมเต็มลุคให้หญิงสาวผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจุดเด่นของ คอลเลกชั่นนี้ได้ถูกหยิบยกมาสร้างสรรค์เป็นเมนู Black Forest Stone Cake เค้กช็อคโกแลตอันหอมหวานที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนเมื่อได้ลิ้มลอง

ต่อมาที่คอลเลกชั่น ‘โพไซดอน’ (Poseidon) อีกหนึ่งคอลเลกชั่นที่ยังคงนำเสนอแรงบันดาลใจแห่งทะเลแต่แฝงไว้ด้วยนัยยะแห่งการอนุรักษ์และล้อเลียนสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลให้ดูน่าขบขัน โดยความมหัศจรรย์เหนือคำบรรยายของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นจิวเวลรี่รูปทรงพระราชาปลาหมึกยักษ์ และปลาปักเป้าสีทองที่ห้อยอยู่บนสร้อยข้อมือชิ้นเด่นและสร้อยคอยาว พร้อมประดับด้วยหินอาเกตสีน้ำเงิน (Blue Agate) รวมถึงต่างหูสเตทเม้นท์ดีไซน์โดดเด่นที่มาในรูปทรงปลาหมึกสีทองอันสะดุดตา โดยคอนเซ็ปต์ของคอลเลกชั่นนี้ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเมนูอาหารคาวที่ชื่อว่า Octopus and Olive Baguette สลัดปลาหมึกยักษ์เสิร์ฟบนขนมปังฝรั่งเศสแสนอร่อย

ปิดท้ายที่ ‘อิสลา มูเคเรส’ (Isla de mujeres) คอลเลกชั่นที่สะท้อนเรื่องราวการเดินทางไปสู่ใต้ท้องทะเลลึกซึ่งค้นพบกับความงามของฝูงปลาดาวและหมู่เรือลำใหญ่ที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางทะเลสีฟ้าครามเมื่อยามต้องแสงแดด โดยทางทีมดีไซน์ได้ถ่ายทอดไอเดียดังกล่าวลงบนเครื่องประดับดีไซน์เก๋อย่างแหวนและกำไลรูปทรงปลาดาวผ่านเทคนิคการเล่นโทนสีที่ประกอบไปด้วยสีทองซึ่งเปรียบเสมือนผืนทรายไปจนถึงสีส้มที่เปรียบดั่งแสงแดดยามเย็น รวมถึงสร้อยคอยาวประดับจิวเวลรี่รูปทรงปลาดาวสีเขียวและหินสี ซึ่งคอลเลกชั่นดังกล่าวได้ถูกรังสรรค์ออกมาเป็นเมนู Salmon Confit Lollipop with Wasabi Mayonnaise and Dulse Flakes เต็มอิ่มกับรสชาติแห่งความอร่อยของปลาแซลมอนปรุงกับวัตถุดิบชั้นเลิศที่พร้อมให้เหล่านักชิมได้ลิ้มรส

ด้านเหล่าเซเลบริตี้สาวร่วมเผยไลฟ์สไตล์การเลือกเครื่องประดับเสริมลุค พร้อมเผยถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ประทับใจเมื่อต้องเยือนประเทศอิตาลี เริ่มที่สาวสังคม ปาวา นาคาศัย เล่าว่า “ส่วนตัวเป็นคนที่สไตล์แอคทีฟ ลุยๆ ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งอยู่บ่อยๆ เสื้อผ้าก็จะเลือกเน้นความคล่องตัว และจะขาดเครื่องประดับไม่ได้เลย โดยเฉพาะต่างหูกับแหวนดีไซน์สวยๆ อาจจะมี ลูกเล่นเป็นรูปสัตว์ทะเลน่ารักๆ ในเฉดสีทองที่มีความคลาสสิกใส่ได้กับชุดทุกเฉดสี ส่วนสถานที่ที่ชอบมากที่สุดก็คือเกาะคาปรี (Capri) ที่ถือได้ว่าเป็นเกาะสวรรค์ที่มีธรรมชาติโอบล้อมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ไปเที่ยว โดยเฉพาะถ้ำ Blue Grotto ซึ่งภายในถ้ำจะมีน้ำทะเลเป็นสีฟ้าสดใส น่าลงไปแหวกว่าย”

ถัดมาที่สาวสวยหน้าคม วีรานันท์ สดากรวงศ์วัชร์ เผยว่า “สไตล์การแต่งตัวของเราเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งให้หวานเลี่ยนจนเกินไป โดยจะเน้นแต่งสไตล์ที่มีการผสมผสานกันระหว่าง          เฟมินีนกับมาสคิวลีนอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้มาร่วมเดินแบบในชุดเดรสพลีทสีแชมเปญ เราก็พลิกแพลงด้วยการนำสร้อยเส้นยาวที่เป็นรูปเปลือกหอย ปะการัง มาแมทช์เป็นเข็มขัดคาดเอวก็ช่วยขับรูปร่างเราให้ดูสมส่วนขึ้น และแหล่งท่องเที่ยวที่ชอบมากต้องยกให้เป็นเกาะบูราโน่ (Burano) ด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นหมู่บ้านน่ารักๆ สีสันสดใสและดูเป็นระเบียบ ยิ่งมีฉากหลังเป็นท้องทะเลสีฟ้าสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง”

ต่อมาที่สาวนักเดินทาง จุฬาลักษณ์ ปิยะสมบัติกุล เล่าว่า “เราเป็นคนที่พิถีพิถันในการเลือกแต่งตัวรวมทั้งเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมทช์เสริมลุค โดยจะเลือกพวกเครื่องประดับที่มีดีไซน์คลาสสิกใส่ได้ตลอดไม่เชยง่ายๆ อย่างการเลือกสวมใส่แหวนที่มีดีไซน์สวยๆ สักวงคู่กับสร้อยข้อมือที่เข้ากัน ก็จะช่วยให้เราสามารถออกไปงานได้อย่างมั่นใจ ด้านสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลื้มที่สุดคือชายฝั่งอามาลฟี (Amalfi) จุดเด่นคือเป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยหน้าผาและชายหาดสวยงาม เหมาะแก่การไปพักผ่อนสร้างแรงบันดาลใจในวันหยุด”

ปิดท้ายที่สาวมีสไตล์ รัสวดี ควรทรงธรรม เผยว่า “เราเป็นคนที่ชอบแต่งตัวสไตล์มินิมอลเรียบง่าย เน้นความคล่องตัว ออกแนวทะมัดทะแมงหน่อย และจะเลือกเครื่องประดับที่มีดีเทล น่ารัก อย่างต่างหูสีสันสดใสมาช่วยเบรกลุคไม่ให้ดูแมนมากจนเกินไป แถมยังเพิ่มเสน่ห์ดูน่าค้นหาในตัวเราด้วย ส่วนเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่ชื่นชอบคือโปซีตาโน (Positano) ซึ่งเป็นเมืองที่น่ารัก มีหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีสีสันไล่ไปตามไหล่เขาขึ้นไป ด้วยสีสันของหมู่บ้านตัดกับสีฟ้าของท้องทะเลและท้องฟ้าได้อย่างสวยงาม ทำให้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากเวลาไปเที่ยว    ที่นั่น”

สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำค่าจากเครื่องประดับแบรนด์ ‘มิสซิส’ (MISIS) ได้แล้ววันนี้ที่ร้านเซตเต้ เพคคาติ บูทีคส์ (SETTE PECCATI BOUTIQUE) ชั้น M ศูนย์การค้าสยาม พารากอน, ชั้น G ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ บริเวณโซนเครื่องประดับผู้หญิง (HER LAB) และศูนย์การค้าสยาม ทาคาชิมายา  ชั้น 2 บริเวณโซนเครื่องประดับผู้หญิง รวมถึงทางอินสตาแกรม @misis_th และ @settepeccati พร้อมร่วมลิ้มรสชุดน้ำชายามบ่ายสุดพิเศษ ‘เจ็ม ออฟ เดอะ ซี อาฟเตอร์นูนที’ (Gems of the Sea Afternoon Tea) ได้แล้ววันนี้ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ บริเวณ เดอะ เซนต์ รีจิส บาร์ และเดอะ ดรอว์อิ้งรูม ซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน ในเวลา 14.00 น. – 17.00 น. ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2562

เรื่อง-ภาพ ภัทรสุดา พิบูลย์

ยุคนี้เป็นยุคหนึ่งที่เรียกได้ว่า “คนรุ่นใหม่” อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยความสนใจด้านธุรกิจ หรือแม้แต่การอยากถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปก็ตาม

หนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจคือ “อิง-ยลวารี สัตยนาวิน” เจ้าของแบรนด์ “YOLWAREE” (ยลวารี) ผู้เข้าร่วมประกวดโครงการ Talent Thai & Designers’ Room โครงการเฟ้นหาดีไซเนอร์ไทยผู้มีงานดีไซน์ที่โดดเด่นของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเธอได้รังสรรค์ไอเดียผลงานผ่านเครื่องประดับ “จิวเวลรี่” จนกลายเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่ได้รับความนิยม

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า ก่อนหน้านั้น สอบตรงติดคณะบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่อยากลองหาอะไรทำ ด้วยความที่ชอบจิวเวลรี่อยู่แล้ว เลยใช้เวลาว่างในการออกแบบจิวเวลรี่ แม้ไม่ได้มีทักษะทางด้านนี้เลย แต่เพราะความชอบก็เลยลองเขียนแบบขึ้นมา และทำขายในชื่อแบรนด์ “Haus of Jewelry” ผลที่ตอบรับกลับมาช่วงนั้นเป็นอะไรที่ได้กำไรมาก จากนั้นจึงนำเงินก้อนมาทำเป็นคอลเล็คชั่นใหม่ในแบรนด์ “YOWAREE”

“ชื่อแบรนด์ YOLWAREE (ยลวารี) มาจากชื่อของตัวเอง ที่แปลว่า มองดูสายน้ำ สำหรับคอเล็คชั่นล่าสุดนี้อยากให้สินค้าสอดคล้องกับชื่อแบรนด์ จึงตั้งคอนเซ็ปต์ว่า วารี โดยดีไซน์จะเป็นแนววินเทจโมเดิร์น คือสวนงามแบบไม่ตกยุค”

อิง-ยลวารี บอกอีกว่า ในคอลเล็คชั่นวารีจะมีต่างหูห่วงและแหวน โดยเพชรทั้งหมดที่นำมาประดับผลงานจะเป็นสเต็ปคัต ทำให้ได้ชิ้นงานที่เหมือนเส้นของสายน้ำลึก สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ ทั้งนี้ ผลงานแต่ละชิ้นจะมีความวินเทจโมเดิร์น เป็นไอเท็มคลาสสิกที่ใส่ได้ตลอดกาล เพื่อความเก๋ในสไตล์วารี

อิง-ยลวารี สัตยนาวัน

“การผลิตของเราอย่างแรกจะเริ่มหาแรงบันดาลใจ ขั้นตอนต่อไปทำการร่างแบบ และใส่ทรีดี หรือสามมิติ จากนั้นนำมาแว็กซ์ และขึ้นตัวแม่พิมพ์หลัก แล้วทำการผลิตออกมา ซึ่งเรามีโรงงานผลิตอีกที วัตถุดิบที่ใช้ก็จะเป็นหินสีแสด ชุบเงินกับทองคำแท้”

ด้านกลุ่มลูกค้าของแบรนด์มีหลากหลายช่วงวัย แต่ที่นิยมมากสุดเป็นผู้หญิงช่วงวัยทำงาน อายุ 25-40 ปี เพราะราคาค่อนข้างสูง เริ่มต้น 3,000 บาท จนถึง 12,000 บาท เป็นงานเงินแท้ ชุบทองและทองคำขาว

และมีอีกแบรนด์ที่ชื่อว่า “Haus of Jewelry” (เฮาส์ ซับ จิวเวลลี่) เป็นแบรนด์ที่เด็กกว่า ส่วนใหญ่จะอายุ 18-35 ปี เป็นงานเงินแท้ที่เอาใจวัยรุ่น ชวนใส่ง่าย เหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวัน

“ปัจุบันเรายังไม่ได้ส่งออกนอกประเทศ เพียงแต่เปิดเป็นบูธไปกับทางกรมฯ ที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว และก็อยู่กับกรมฯมาตลอด นอกจากนี้ยังเคยออกงานเจมส์แอนด์จิวเวลรี่ซ้อนกัน 3 ปี และออกงานไทยสไตล์ ที่ไบเทคบางนามา 3 ปีแล้วเช่นกัน”

“อิง-ยลวารี สัตยนาวัน” ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์ คือต้องเริ่มจากสิ่งที่เรารัก ถ้าไม่เริ่มจากสิ่งที่เรารัก ก็จะไม่ออกมาเป็นตัวตนของเรา ทุกอย่างก็จะไม่เต็มที่กับมัน

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างนักธุรกิจดีไซเนอร์ ที่นำสไตล์ความเป็นตัวเอง ผ่านผลงานศิลปะ แม้จะไม่เคยมีทักษะทางด้านการออกแบบจิวเวลลี่ แต่ความชอบและมุ่งมั่นก็สามารถนำเธอประสบความเร็จในด้านธุรกิจได้

สยามเจมส์ เฮอริเทจ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและผู้จำหน่ายเครื่องประดับอัญมณีชั้นนำของไทย เปิดโซนใหม่ล่าสุด “นพรัตน์ 9 อัญมณีมงคล” นำเสนอเครื่องประดับนพรัตน์ดีไซน์หลากหลายมากที่สุดในประเทศ ทั้ง แหวน จี้สร้อยคอ กำไล สร้อยข้อมือ ต่างหู ที่สามารถเลือกสรรได้ทุกวัย ทั้งชายหญิง พร้อมรับประกันคุณภาพสินค้าตลอดชีพ

นางสาวกิรณา มงคลศิริ ผู้จัดการทั่วไป สยามเจมส์ เฮอริเทจ กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์กว่า 56 ปีของสยามเจมส์ เฮอริเทจ เรามีความเข้าใจในเรื่องอัญมณีทุกประเภทเป็นอย่างดี การเปิดโซนนพรัตน์ จึงเป็นการส่งเสริมงานฝีมือชั้นสูงของช่างศิลป์ไทย โดยนำเอาความเชื่อโบราณของคนไทย เกี่ยวกับพลังมงคลของอัญมณีทั้ง 9 ชนิด มารังสรรค์เป็นเครื่องประดับที่มีดีไซน์หลากหลาย ทั้งแบบงานศิลปะโบราณ งานศิลปะประยุกต์ร่วมสมัย และงานนพรัตน์สมัยใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาเครื่องประดับนพรัตน์ในดีไซน์ที่แตกต่าง มีคุณภาพดี ในราคาจับต้องได้ เริ่มต้นที่หลักหมื่นต้นๆ พร้อมกับบริการหลังการขาย รับประกันสินค้าตลอดชีพ สำหรับลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ”

“นพรัตน์” คืออัญมณีมงคล 9 ประการ ได้แก่ ทับทิม มุกดา เพทาย มรกต บุษราคัม เพชร ไพลิน โกเมน และ ไพฑูรย์  ตามความเชื่อของคนไทยแต่โบราณนั้น เป็นสัญลักษณ์ของดาวนพเคราะห์ ถือเป็นของสูง มีคุณค่าทางจิตใจ หากผู้ใดได้ครอบครองจะเป็นสิริมงคลอย่างสูงสุด นำมาซึ่งโชคลาภ ความสุข และความสมหวังด้านต่างๆ ทั้งนี้ นพรัตน์ยังมีอิทธิพลต่อการรังสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของไทย ทั้งในด้านศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อาทิ เครื่องทรงพระพุทธรูป การตกแต่งวัดวาอาราม เครื่องใช้ในพระราชพิธีสำคัญของพระมหากษัตริย์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่พระราชทานให้กับบุคคลผู้ทำคุณงามความดีให้กับประเทศ

ทับทิม หมายถึง ความสำเร็จ ลาภยศ

มุกดา หมายถึง ร่มเย็น เป็นสุข

เพทาย หมายถึง มั่งคั่ง ร่ำรวย

มรกต หมายถึง ศรัทธา กล้าหาญ

บุษราคัม หมายถึง มีเสน่ห์ เป็นที่รัก

เพชร หมายถึง ยิ่งใหญ่ ชัยชนะ

ไพลิน หมายถึง เมตตา กรุณา

โกเมน หมายถึง สุขภาพดี อายุยืนยาว

ไพฑูรย์ หมายถึง คุ้มครอง ป้องกัน

สำหรับ โซน “นพรัตน์ 9 อัญมณีมงคล” ตั้งอยู่ ชั้น 3 สยามเจมส์ เฮอริเทจ (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) กรุงเทพมหานคร สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข 02-766-9500, www.facebook.com/SiamgemsHeritage/ และ www.siamgemsheritage.com

นอกจากการเลือกสวมชุดสวยสร้างสไตล์ให้โดดเด่นแล้ว การเลือกเครื่องประดับที่เข้ากับโทนสีผิวของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเน้นเรือนร่างให้สวยโดดเด่นอย่างไร้ที่ติ โดยครั้งนี้แบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก ‘คาลวิน ไคลน์’ (CALVIN KLEIN) ได้อวดโฉมคอลเลกชั่นสุดพิเศษหลากหลายดีไซน์พร้อมแนะนำเทคนิคการเลือกมิกซ์แอนด์แมทช์เครื่องประดับและนาฬิกาให้มั่นใจได้ในทุกสีผิว

‘คาลวิน ไคลน์’ (CALVIN KLEIN) ได้นำเสนอคอลเลกชั่นเครื่องประดับและนาฬิกาสุดแสนโดดเด่นอย่างรุ่น CALVIN KLEIN Brilliant เครื่องประดับที่นำเสนอความหรูหราระยิบระยับของคริสตัลสวารอฟสกี้จะช่วยเพิ่มความเย้ายวนให้กับหญิงสาวยามสวมใส่ เพิ่มลูกเล่นด้วยการจับคู่สีใน 4 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สเตนเลสสตีลกับคริสตัลเพชรสวารอฟสกี้, PVD Yellow Gold กับคริสตัลเพชรสวารอฟสกี้, PVD Pink Gold กับคริสตัลเพชรสวารอฟสกี้ และสเตนเลส สตีลกับคริสตัลสีน้ำเงินสวารอฟสกี้ ที่สามารถสวมใส่ได้ตั้งแต่ลุคกลางวันไปจนถึงงานปาร์ตี้ในยามค่ำคืน

ถัดมาที่เครื่องประดับ CALVIN KLEIN Double นำเสนอเทคนิคการซ้อนทับและขนาดที่แตกต่างกันของเครื่องประดับ เพื่อให้เกิดมิติบนชิ้นงาน โดดเด่นด้วยคู่สีที่ผสมผสานระหว่างสีสเตนเลสสตีลกับ PVD Yellow Gold และสเตนเลสสตีลคู่กับ PVD Pink Gold และกำไลข้อมือทางทีมดีไซน์ได้นำเสนอ 4 สีสันเพิ่มเติม ได้แก่ สเตนเลสสตีล, สเตนเลสสตีลกับ Black PVD, PVD Yellow Gold กับ Black PVD และ PVD Yellow Gold กับ PVD Pink Gold

ต่อมาที่คอลเลกชั่น CALVIN KLEIN Tune เครื่องประดับที่มีดีไซน์จากจี้เม็ดคริสตัลรูปทรงลูกเต๋าผสานความเท่ด้วยสายโซ่เส้นเล็ก เพิ่มความโดดเด่นด้วยโทนสีสแตนเลสสตีล, PVD Pink Gold, PVD Yellow Gold รวมถึงหินคริสตัลสวารอฟสกี้สีขาวที่ช่วยสร้างสไตล์อันเรียบโก้

 

ดีไซน์ถัดมา CALVIN KLEIN Rebel คอลเลกชั่นเครื่องประดับสไตล์โมเดิร์น ที่มีการออกแบบสอดแทรกเส้นสายอันแข็งแรงให้ล้อไปกับความสดใสและขี้เล่นผ่านการจับคู่สีในโทนที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นสีขาวกับสีน้ำเงิน, สีแดงกับสีน้ำเงิน, สีแดงกับสีเทา หรือโทนสีคลาสสิคอย่างสีขาวกับสีดำ ถ่ายทอดเป็นไอเท็มชิ้นเด่นที่สามารถสร้างสรรค์ดีไซน์เฉพาะตัวได้อย่างไม่ซ้ำใคร

ถัดมาที่ CALVIN KLEIN Spicy นำเสนอสไตล์มินิมอลสุดทันสมัย ผ่านเครื่องประดับรูปทรงวงกลมที่เกิดจากการผสานแมททีเรียลทรงครึ่งวงกลมที่ต่างชนิดเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มลูกเล่นและเท็กซ์เจอร์ที่แตกต่างให้กับเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่ระหว่างหินโอนิกซ์สีดำ (Onyx) กับหินแลพิสแลซูลี (Lapis Lazuli) หรือจับคู่สีจากหินเทอร์ควอยซ์ (Turquoise) กับเรด คอรัล (Red Coral) รวมไปถึงสแตนเลสสตีลกับ PVD Pink Gold

และเครื่องประดับ CALVIN KLEIN Anchor ข้อมือสายหนังดีไซน์ที่แข็งแรงสะท้อนถึงพลังของสุภาพบุรุษ ด้วยการจับคู่หนังสองเส้นรัดเข้าด้วยกัน พร้อมติดข้อต่อโลหะปั๊มโลโก้ CALVIN KLEIN เพื่อสร้างคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน และโดดเด่นด้วยสไตล์อันเรียบเท่ ซึ่งมีทั้งหมด 4 สีด้วยกัน ตั้งแต่ สีเทา, สีดำ, สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน

คอลเลกชั่นนาฬิกา CALVIN KLEIN Rebel โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่มีความเป็นแฟชั่น สดใสและขี้เล่น ด้วยดีไซน์ของหน้าปัดขนาดใหญ่บนสายหนังนุ่มขนาดเรียวเล็ก ที่มาในแถบสีและสายหนังสีขาว สีดำ และสีเทา จับคู่กันอย่างลงตัวกับตัวเรือนสีสเตนเลสสตีลสีเงิน และสี PVD Pink Gold เหมาะสำหรับหญิงสาวที่ชื่นชอบความแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร

ต่อมาที่ CALVIN KLEIN Cheers ที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนเมือง ผ่านการออกแบบจากแรงบันดาลใจเส้นขอบฟ้าสู่สายนาฬิกาที่สามารถสวมใส่ได้เหมือนเครื่องประดับที่เข้ากันได้ดีกับทุกลุค ด้วยวัสดุสแตนเลสสตีลเนื้อดีรูปทรงเรขาคณิตที่ซ้อนทับกันในโทนสี PVD Gold และ PVD Pink Gold สื่อถึงความประณีตและพิถีพิถันของผู้ออกแบบ นำเสนอบนหน้าปัด 2 สี ได้แก่สีเงินและสีดำ

คอลเลกชั่นถัดมา CALVIN KLEIN High Noon นาฬิกาสไตล์วินเทจ ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความคลาสสิคและความทันสมัยเข้าด้วยกัน ส่งผ่านดีไซน์อันเรียบง่ายเพิ่มความโมเดิร์นด้วยกระจกโค้งมนที่เข้าคู่กันกับตัวเรือนทรงกลมได้เป็นอย่างดี ออกแบบให้มีทั้งสายหนังสีดำ สีน้ำตาล และสายสเตนเลสสตีลถักตาข่ายที่เข้ากับหน้าปัดสีดำและสีเงินได้เป็นอย่างดี

ดีไซน์ถัดมา CALVIN KLEIN Full moon ที่สร้างเสน่ห์อันเย้ายวนบนข้อมือของหญิงสาว ด้วยงานดีไซน์เรียบง่ายกับสายหนังเส้นเรียวเล็ก แรงบันดาลใจหลักจากดวงจันทร์สะท้อนบนหน้าปัดขัดด้านทรงกลมโอเวอร์ไซส์

ปิดท้ายที่คอลเลกชั่น CALVIN KLEIN Minimal นาฬิการุ่นยอดนิยมดีไซน์คลาสสิคเหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ชื่นชอบในความร่วมสมัย โดดเด่นด้วยหน้าปัดดีไซน์เก๋ที่มีการซ้อนทับกันของเส้นวงกลม ผ่านการเลือกใช้สีเงิน สีเทาเข้ม และสีดำ บนสายถักตาข่ายสี PVD Yellow Gold และ PVD Pink Gold

โดยทางแบรนด์ได้แนะนำการเลือกเครื่องประดับและนาฬิกาให้เข้ากับแต่ละโทนสีผิวที่แตกต่างกัน เพื่อเสริมสไตล์ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เริ่มจากหนุ่มสาว ผิวขาว สามารถเลือกสวมใส่เครื่องประดับได้หลากสีสันโดยเฉพาะสีสันที่สดใสอย่างสีแดง สีฟ้า และสีชมพู จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูสนุกสนาน ร่าเริง หากอยากได้ลุคที่ดูเรียบโก้คนผิวขาวเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับเลือกสวมใส่เครื่องประดับในโทนสีเบสิคอย่างสีดำและสีน้ำตาล

ส่วนคน ผิวขาวเหลือง ควรเน้นเลือกเครื่องประดับและนาฬิกาในเฉดสีที่จะทำให้ผิวดูสว่างขึ้น อาจเลือกสวมแหวน สร้อยคอ หรือต่างหูในเฉดสีเขียว สีเงิน สีฟ้า หรือโทนสีร้อนอย่างสีส้มและสีแดง ก็จะช่วยให้ผิวดูสดใสแลดูมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น

ถัดมาที่คน ผิวสองสี เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับเครื่องประดับในโทนสีร้อนอย่างสีทอง รวมไปถึงสีพิงค์โกลด์หรือโรสโกลด์ที่ประดับด้วยเพชรหรือคริสตัลมีประกาย ให้ลุคที่ดูหรูหราอย่างมีเสน่ห์

ปิดท้ายด้วยเครื่องประดับที่เหมาะกับคน ผิวคล้ำ ควรเน้นเลือกเครื่องประดับและนาฬิกาที่มีดีไซน์สวยในเฉดสีทอง สีเงิน สีฟ้า และสีน้ำเงิน รวมถึงเฉดสีเบสิกอย่างสีดำก็สามารถเลือกสวมใส่ได้ นอกจากจะเสริมคาแรคเตอร์แล้วยังช่วยขับสีผิวให้โดดเด่นอย่างไร้ที่ติ

ร่วมเลือกเครื่องประดับและนาฬิกาให้เข้ากับโทนสีผิวเพื่อเสริมสไตล์ให้โดดเด่นได้แล้ววันนี้ที่ร้าน ‘คาลวิน ไคลน์’ (CALVIN KLEIN) ทุกสาขาทั่วประเทศไทย

 

“เพชร” เป็นอัญมณีสุดเลอค่าที่คงความงดงามอันเป็นนิรันดร์ เฉกเช่นเดียวกับ “ยูบิลลี่ ไดมอนด์” (Jubilee Diamond) แบรนด์เครื่องเพชรชั้นนำที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 89 ขอนำเสนอเครื่องประดับเพชรคอลเลกชั่นใหม่ “เดอะ ริทึ่ม ออฟ เนเจอร์” (The Rhythm of Nature) ที่ได้ร้อยเรียงความงามและสีสันของธรรมชาติสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบ นำความเคลื่อนไหวของใบไม้และดอกไม้ พร้อมดึงความงดงามของผีเสื้อที่โบยบินอย่างอิสระตามธรรมชาติ ถ่ายทอดสู่เครื่องประดับเพชรชิ้นเอกอันประกอบด้วย สร้อยคอ, เข็มกลัด, แหวน และต่างหู เพื่อต้อนรับความสดใสและสีสันของซัมเมอร์นี้

เริ่มด้วย สร้อยคอเพชรรูปผีเสื้อ ที่สามารถสวมใส่เพื่อเพิ่มความโดดเด่นให้สมบูรณ์แบบสะกดทุกสายตา สามารถถอดผีเสื้อเพชร ออกมาเป็นเข็มกลัด เพื่อปรับเปลี่ยนลุค และเพิ่มโอกาสการใช้งานที่แตกต่าง เสริมบุคลิกภาพของคุณผู้หญิงให้ดูโดดเด่นแต่แฝงด้วยความอ่อนหวาน จะสวมใส่กับชุดราตรียาวในโอกาสพิเศษ หรือมิกซ์กับชุดเดรสสั้นเรียบๆ สีพื้น ก็จะช่วยเพิ่มสีสัน และเสริมลุคเรียบหรูได้อย่างมีระดับ

ถัดมาคือ เข็มกลัดรูปทรงผีเสื้อ โดดเด่นด้วยเพชรกะรัตรูปทรงมาคีร์ (Marquise Shape) และรูปทรงเรเดียนท์ (Radiant Shape) ช่วยเพิ่มความอ่อนหวานให้กับคุณผู้หญิง จะนำไปมิกซ์กับชุดเดรสสำหรับงานกลางคืน หรือจะกลัดกับชุดสูทสำหรับงานทางการก็ช่วยเสริมความมั่นใจในลุคเวิร์กกิ้งวูแมน

ตามด้วยเครื่องประดับยอดฮิตที่คุณผู้หญิงทุกคนหลงรักคือ แหวนรูปทรงใบไม้สุดเลอค่า โดดเด่นด้วยเพชรรูปทรงเรเดียนท์ (Radiant Shape) รายล้อมด้วยเพชรประกอบที่ร้อยเรียงอย่างประณีต อ่อนช้อย เพิ่มเสน่ห์ให้คุณผู้หญิงที่ต้องการความดูดีแบบไม่ซ้ำใคร จะสวมใส่ในโอกาสพิเศษหรือสวมใส่ในวันสบายๆ ก็ช่วยเสริมลุคเพิ่มความหรูหราได้อย่างลงตัว

แหวนรูปทรงดอกไม้ แรงบันดาลใจจากดอกไม้ที่กำลังผลิบาน รวมกับหยาดน้ำค้าง สุดยอดเพชรแห่งความเปล่งประกาย ช่วยเพิ่มความอ่อนหวาน เสริมความมีชีวิตชีวา อัพลุคของสาวๆ ให้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

สาวๆ ที่ชอบความทันสมัย แหวนเพชรจากแรงบันดาลใจรูปทรงใบไม้  โดดเด่นด้วยเพชรรูปทรงกลม
(Round Shape) สองเม็ดถูกรายล้อมด้วยเพชรผูกไขว้กันไปมา สื่อถึงความงดงามผสมผสานกับธรรมชาติได้อย่างมีมิติ เหมาะสำหรับสาวปราดเปรียวที่ต้องการเสริมความมาดมั่น ช่วยเสริมลุคให้ดูเป็นผู้หญิงที่น่าค้นหามากยิ่งขึ้น

พร้อมด้วย แหวนเพชรจากเส้นสายรูปทรงใบไม้ ผสมผสานกับความเคลื่อนไหวจากธรรมชาติสู่
ความสวยงามที่ไร้ขีดจำกัด มีให้เลือกทั้งแบบแหวนเพชรตัวเรือนแถวเดียว และแหวนเพชรสองแถว โดดเด่นด้วยเพชรรูปทรงกลม (Round Shape) พาดผ่านผูกไขว้กันอย่างมีรสนิยม เหมาะสำหรับแฟชั่นนิสต้าที่ต้องการเพิ่มความหรูหรา นอกจากนี้ยังเป็นแหวนเพชรที่ถูกดีไซน์ให้สามารถนำมาสวมใส่คู่กันเสริมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มลูกเล่นและความสนุกในการเลือกใส่แหวนในสไตล์ที่ชอบ

และเครื่องประดับเพชรชิ้นสุดท้ายคือ ต่างหูเพชรสุดงดงาม ได้แรงบันดาลใจจากความพลิ้วไหวของใบไม้อย่างอิสระ เปล่งประกายสวยงามระยิบระยับ สามารถสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และเข้ากับทุกลุคของการแต่งหน้า ไม่ว่าจะจัดเต็มหรือเมคอัพแบบเผยผิวก็ช่วยคอมพลีทลุคขับให้ใบหน้าโดดเด่นยิ่งขึ้น

             

“เดอะ ริทึ่ม ออฟ เนเจอร์” (The Rhythm of Nature) พร้อมให้คุณสัมผัสความงดงามได้แล้ว ที่เคาน์เตอร์เพชร “ยูบิลลี่ ไดมอนด์” (JUBILEE DIAMOND) ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Jubilee Diamond (Thailand), www.jubileediamond.co.th, Line : @jubileediamond หรือ โทร. 02-625-1111

เรื่อง/ภาพ กนกวรรณ มากเมฆ


 

พูดถึง “ผ้าไหม” หลายคนคงนึกถึงผ้าเนื้อนุ่มลื่น มักใช้ตัดชุดทางการ ชุดพิธี หรือชุดที่มีความเป็นผู้ใหญ่หน่อย แต่ทุกวันนี้การนำผ้าไหมมาใช้เรียกได้ว่าไม่ได้จำกัดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ เท่านั้น เพราะมีการนำผ้าไหมไปประยุกต์ทำสินค้าใหม่ๆ ขึ้น อย่างเช่นแบรนด์ “La Orr” (ละออ) ที่นำผ้าไหมมาจับใส่ไอเดียเกิดเป็นเครื่องประดับที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

“ออม-สุพัจนา ลิ่มวงศ์” เล่าให้ “มติชน อคาเดมี” ฟังว่า แบรนด์ละออเริ่มตั้งเป็นแบรนด์จริงๆ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ทำงานเป็นดีไซเนอร์บริษัทส่งออกเครื่องประดับเงิน ก็มีการทดลองเท็กซ์เจอร์และเทคนิคมาเรื่อยๆ ตลอด 4 ปี

“ตั้งแต่ตอนเรียนศิลปกรรมออกแบบเครื่องประดับที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เราก็มีความฝันว่าอยากจะมีแบรนด์เครื่องประดับของตัวเอง แต่อยากลองหาประสบการณ์ก่อนเลยไปทำงานบริษัท พอถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกอิ่มตัว เลยคิดว่าน่าจะออกมาทำอะไรจริงๆ จังๆ จึงไปเรียนปริญญาโท สาขาออกแบบแฟชั่นและเท็กซ์ไทล์ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง แล้วก็มาทดลองทำ” ออม-สุพัจนากล่าว

ด้วยความที่ส่วนตัวเธอเป็นคนชอบงานคราฟต์ของไทยอยู่แล้ว แต่งานคราฟต์ของไทยนั้นมีมากมายหลายประเภท เช่น จักสาน งานไม้ไผ่ ในตอนแรกเธอเองก็ยังไม่คาดคิดว่าตัวเองจะใช้ผ้าไหม เพียงแต่อยากทำแบรนด์ที่เอางานคราฟต์ไทยมาใช้เท่านั้น

แต่ความบังเอิญอยู่ที่ส่วนตัวเธอรู้จักกับ “ร้านสุรีย์พรไหมไทย” ทำให้มีโอกาสได้สัมผัสของจริงว่าผ้าไหมเป็นผ้าที่สวยมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยได้ใช้ เพราะผู้คนมักรู้สึกว่าผ้าไหมเป็นสิ่งไกลตัว มีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นทางการ ตัดได้เพียงชุดพิธีการทรงตรง เลยรู้สึกว่าต้องเอามาทำอะไรสักอย่าง

“ตอนนั้นเราเลยตั้งโจทย์ให้มันคอนทราสต์ขึ้นมาเลยว่าเราจะทำให้วัยรุ่นใส่ และใส่ได้ทุกวัน เข้าถึงง่าย ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว ที่ร้านสุรีย์พรจึงให้ผ้าไหมเรามาทดลองได้เต็มที่ เพราะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเราจะออกแบบมาเป็นรูปแบบไหน”

โดยกว่าจะมาเป็นสินค้าแฟชั่นจากงานคราฟต์ไทยโบราณที่ดูสัมผัสได้และใช้ได้จริงอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะความยากนั้นเรียกได้ว่าเริ่มตั้งแต่วัสดุที่ใช้ ที่ในตอนแรกเธอยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำออกมาอย่างไรให้ดูสวยโดยที่ต้องแตกต่างจากเครื่องประดับผ้าที่เคยเห็น เลยทดลองค่อนข้างเยอะ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ผ่านการสเกตช์งานก่อน เพราะการทดลองทำทั้งตัวผ้าและวัสดุไปด้วยกันจะทำให้เห็นเป็นสามมิติมากกว่า และทำให้รู้เลยว่าจุดใดยังมีปัญหา ส่วนไหนยังไม่ได้

ผลงานของ “ออม” ในช่วงแรกจะเป็นทรงที่ทำค่อนข้างง่าย อาจจะเป็นทรงที่เห็นได้ทั่วไป คือ เป็นพู่ผ้าไหมแล้วมีหัวจุก แต่คอลเลคชั่นถัดๆ มาตัวเรือนจะเริ่มไม่ใช่แค่หัวจุก แต่จะมีความบิดพลิ้วมากขึ้น ดูเป็นตัวเรือนที่มีความจริงจังมากขึ้น ยากขึ้นทั้งตัวผ้าและการขึ้นตัวโลหะ

ความเก๋ไก๋ยังอยู่ที่ทุกชิ้นงานของเธอเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด วัสดุหลักจะเป็นผ้าไหมปักธงชัยเท่านั้น กับทองเหลืองชุบ ซึ่งแต่ละชิ้นก็จะใช้เวลาการทำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับความยากง่าย เพราะฉะนั้นหากมีออเดอร์เข้ามา “ออม” ก็จะมีการตกลงเวลากับลูกค้าว่าหากมีออเดอร์เยอะก็อาจจะเกิน 1 เดือนขึ้นไป แต่โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 3 สัปดาห์/ออเดอร์

สำหรับราคาของเครื่องประดับผ้าแบรนด์นี้เริ่มตั้งแต่ 590 ไปจนถึง 6,000 บาทขึ้นไป ปัจจุบันในประเทศไทยหาซื้อได้ที่ Room Concept Store ที่สยามดิสคัฟเวอรี่, เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ และที่วันเดอร์รูม สยามเซ็นเตอร์ ส่วนตลาดต่างประเทศมีวางขายในรีเทลช็อปในฝรั่งเศส, ไต้หวัน, มาเก๊า และออสเตรเลีย โดยเริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

“เราเริ่มเน้นเจาะกลุ่มชาวไทยก่อน แต่ลูกค้าจริงๆ ของเราเป็นลูกค้าต่างชาติ ส่วนใหญ่จะมาจากการออกงานแฟร์แล้วเขามาเดินหาของแปลกใหม่และสนใจนำไปวางขาย เสียงตอบรับที่ผ่านมาถือว่าดีโดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่นของต่างชาติ โดยยอดขายอาจจะไม่ได้ตู้มต้ามมาก แต่ก็ยังมาเรื่อยๆ เพราะจริงๆ ตั้งเป้าไว้อยู่แล้วว่าจะโตแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เนื่องจากสินค้าเราไม่ใช่ของที่เข้าใจง่าย ต้องค่อยๆ ให้คนทำความรู้จักคุ้นเคยไปเรื่อยๆ จะดีกว่า”

“ออม-สุพัจนา” บอกอีกว่า การออกแบบชิ้นงานตอนนี้ก็ยังใช้ผ้าไหมปักธงชัยอยู่ แต่ว่าต่อๆ ไปก็กำลังทดลองวัสดุใหม่ด้วย ซึ่งยังเน้นเป็นงานคราฟต์ของไทยเท่านั้น โดยอาจจะลองทำโปรดักต์ในกลุ่มอื่นบ้างนอกจากเครื่องประดับ เช่น กระเป๋าถือใบเล็ก ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มสินค้าแฟชั่นอยู่

“เรามองว่างานคราฟต์ไทยยังทำได้อีกหลายอย่าง นี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างที่นำมาใช้ก็คือผ้าไหม แต่ยังมีงานอีกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบญจรงค์ เครื่องถม จักสานย่านลิเภา อยู่ที่ว่าใครจะหยิบมาใช้อย่างไร เลยมองว่าเรื่องของงานออกแบบจากคราฟต์ไทยยังไปได้อีกไกล ขึ้นอยู่กับว่าเราทดลอง ให้เวลากับมันมากแค่ไหน เพราะงานจะออกมาดีได้ต้องใช้เวลากับความอดทน อีกทั้งคนทั่วไปยังรู้สึกว่าเครื่องประดับต้องเป็นเพชร ทอง โลหะ เพราะฉะนั้นต้องอดทนว่าต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ หรือพยายามหารางวัลมาการันตีให้คนมาโฟกัสที่งานของเรา” เจ้าของแบรนด์ละออกล่าว

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ถ้าใครสนใจเรื่องของงานออกแบบจริงๆ อยากให้ลงแรงกายแรงใจไปกับสิ่งที่ตัวเองรัก อาจจะเริ่มจากสิ่งที่สนใจ ก็ให้ไปโฟกัสที่สิ่งนั้น และพยายามทดลองทำให้ต่างจากสิ่งที่มีอยู่ทั่วไป เวลาหาข้อมูลก็พยายามไม่หางานที่เกี่ยวกับเครื่องประดับ แต่จะพยายามหาศิลปะแขนงอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเราไม่อยากติดตา ถึงแม้บางคนจะบอกว่าหาเพื่อเป็นแรงบัดาลใจ สุดท้ายก็ไม่พ้น และจะเป็นการนำผลงานคนอื่นมาใช้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย การออกไปดูสิ่งอื่นหรือหาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ งานที่ออกมาก็จะเป็นตัวเรา 100% และพูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นงานของเรา”

นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างดีไซเนอร์ที่มีการหยิบจับงานศิลปะหัตถกรรมของไทยมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์เลยทีเดียว


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

สำหรับการเลือกใส่เครื่องประดับของหญิงสาวนั้นนอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว เครื่องประดับยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนถึงคาแรคเตอร์และกำหนดภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดเครื่องประดับอัญมณีแบรนด์ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) โดย ชลรดา ไชยศุภรากุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เก็ต แอคเซส จำกัด ได้เปิดตัว 4 คอลเลกชั่นดีไซน์ล่าสุด ที่ชื่อว่า แทลลี่ โรส (Taille Roos), ทิปปิคอล โรส (Typical Roos), ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) และ มูนดรอป (Moondrops) ให้เหล่าจิวเวลรี่เลิฟเวอร์ได้ยมโฉมพร้อมกัน

‘โรส 1835’ (Roos 1835) แบรนด์เครื่องประดับอัญมณีแท้จากประเทศเบลเยียม ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1835 โดยครอบครัว โรเซนดาล (Rozendaal) โดยผลงานทุกชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นล้วนมาจากการออกแบบของมิสเตอร์ รีน โรเซนดาล (Mr. Rien Rozendaal) นักออกแบบอัญมณีชื่อดังผู้สืบทอดกิจการจากครอบครัวรุ่นที่ 6 โดยงานดีไซน์ในทุกคอลเลกชั่นจะได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่ายจุดเด่นที่เน้นความหรูหราแต่ทว่าเรียบง่าย สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยฝีมือการเจียระไนเพชรอย่างเบลเยียมแท้ที่มีการผสมผสานระหว่างเทคนิคแบบโรสคัท (Rose Cut) และบริลเลียนท์คัท (Brilliant Cut) ลงบนตัวเรือนโรส โกลด์ (Rose Gold) และไวท์ โกลด์ 18K (White Gold 18K) ได้อย่างลงตัว ซึ่งในปัจจุบัน ‘โรส 1835’ (Roos 1835) มีวางจำหน่ายในร้านเพชรชั้นนำกว่า 200 แห่งใน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ อเมริกา จีน และ ไทย

โดยเครื่องประดับ 4 คอลเลกชั่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย แทลลี่ โรส (Taille Roos) อัญมณีสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา คอลเลกชั่นนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเพชรโรสคัทร่วมสมัยกับเพชรบริลเลียนท์คัทผ่านการเจียระไนโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญจนเกิดเป็นเครื่องประดับน้ำงามที่มอบความหรูหราโดดเด่นให้แก่ผู้สวมใส่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาที่คอลเลกชั่น ทิปปิคอล โรส (Typical Roos) สร้างสรรค์ขึ้นจากคอนเซ็ปต์ของความทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน แต่ยังคงแฝงความหรูหราเอาไว้ จากการเลือกใช้เพชรบริลเลียนท์คัทสีขาวและสีแชมเปญที่ถูกคัดมาเป็นอย่างดี รวมถึงดีไซน์พิเศษที่ใช้เพชรบริลเลียนท์คัทประกอบกับแซฟไฟร์ (Sapphire) สีน้ำเงิน ถ่ายทอดเป็นเครื่องประดับดีไซน์แปลกตา ที่คงความทันสมัยช่วยเสริมบุคลิกให้ผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดี คอลเลกชั่นถัดมา ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) คอลเลกชั่นแหวนที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษหรือแหวนหมั้น ด้วยความโดดเด่นของเพชรเม็ดเดี่ยว (Solitaire) สีขาวเปล่งประกายสดใส บ่งบอกถึงความรักอันบริสุทธิ์ ในดีไซน์เรียบหรูไร้ที่ติ ปิดท้ายที่คอลเลกชั่น มูนดรอป (Moondrops) ที่ยังคงใช้แมททีเรียลหลักเป็นเพชรบริลเลียนท์คัทน้ำงาม และเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาด้วยทับบทิม (Ruby), แซฟไฟร์ (Sapphire), ควอทซ์ (Quartz), มูนสโตน (Moonstone) และเพชรสีดำ (Black Diamond) ถ่ายทอดเป็นอัญมณีดีไซน์แปลกตาที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้กับเสื้อผ้าได้ทุกชุด สร้างเสน่ห์ให้หญิงสาวผู้สวมใส่ได้เผยสไตล์อันโดดเด่นได้ในทุกโอกาส

เสริมบุคลิกให้โดดเด่นและสมบูรณ์แบบด้วยเครื่องประดับ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) ได้แล้ววันนี้ที่ ห้างสรรพสินค้า เดอะ เอ็มโพเรียม ชั้น 1, เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 1 และสยามพารากอน ชั้น M ในราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว ในประเทศไทย และที่สำคัญคือ ทุกชิ้นงาน รับประกัน 100% LIFE TIME WARANTEE เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่าน