เมืองไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและคาดหมายอากาศร้อนมากกว่าปี 2561 ร้อนกว่าปกติ 1-2 องศาเซลเซียส!

แต่ยังไงก็หนีฤดูร้อนไม่ได้แน่ ก็ไม่ควรนอนเฉยรอความร้อน ลุกขึ้นมาเตรียมรับมือกันด้วยวิชาสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเองดีกว่า

ตามหลักภูมิปัญญาพื้นบ้านอากาศร้อนๆ ก็ต้องกินสมุนไพรที่มีสรรพคุณดับร้อนด้วยรสเย็นหรือรสจืด กินรสเปรี้ยวให้สดชื่น หรือกินรสหอมหวานช่วยแก้อ่อนเพลียในฤดูร้อนได้ดี

สมุนไพรคลายร้อนมีให้เลือกมากมาย แต่ถ้าต้องการเพิ่มพลังเย็นเพื่อคลายร้อนได้รวดเร็วก็ต้องอาศัยภูมิปัญญาฝรั่งมาด้วย

นั่นคือทำไอศกรีมสมุนไพร

ไอศกรีมเป็นขนมหวานที่ชอบกินกันทั้งเด็กผู้ใหญ่คำว่าไอศกรีม หรือไอติม ที่ชาวบ้านเรียกกันคุ้นปากนั้นไม่ใช่เทคโนโลยีของไทย ต้นกำเนิดของโลกยังถกเถียงกันไม่จบ

บ้างก็ว่ามาทางสายอาณาจักรโรมัน บ้างก็ว่าเกิดในอิตาลีและไปเติบโตเฟื่องฟูในฝรั่งเศสแต่บางคนก็อ้างถึงต้นกำเนิดไอศกรีมนั้นมาจากประเทศจีนด้วยเช่นกัน

ที่แน่นอนไม่ต้องถกเถียงกัน คือ ไอศกรีมเข้ามาในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกไว้ในหนังสือความทรงจำหลังการเสด็จประพาสสิงคโปร์เมื่อ พ.ศ.2414 ว่า “ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ”

ทุกวันนี้คนไทยหาไอศกรีมกินได้ทุกที่ทุกเวลา และยังทำกินเองได้ด้วยไม่ต้องพึ่งโรงงานหรือร้านไอศกรีมใดๆ

จึงอยากชวนมิตรรักแฟนสมุนไพรมาทำไอศกรีมสมุนไพรรับลมร้อนในปีนี้

สมุนไพรที่อยากแนะนำให้ทำกินกันก็เป็นสมุนไพรหาง่าย ราคาประหยัด และมีสรรพคุณเหมาะกับคลายร้อนได้ดี ขอแนะนำ มะตูม (Aeglemarmelos (L.) Correa ex Roxb) ซึ่งเป็นทั้งอาหารและยาสมุนไพรที่คนไทยรู้จักดีมาก ช่วยบำรุงกำลังและถือเป็นยาอายุวัฒนะ และเป็นยาลดไข้คลายความร้อน ยังช่วยปรับธาตุในการย่อยอาหารให้เป็นปกติด้วย

เนื้อมะตูมผลสุกหอมอร่อยและมีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อโรคในสำไส้ด้วยใบมะตูมสดยังนำมาทำใส่แกงกินได้ ซึ่งเป็นอาหารโบราณมักทำกินในงานพิธีมงคลในบางท้องถิ่นเท่านั้นคงเป็นเพราะใบมะตูมถือเป็นไม้มงคลใช้ในพิธีมงคลต่างๆ จึงมีการปรุงในอาหารตามงานมงคล

ตอนนี้ก็มาทำไอศกรีมกินกัน ลองทำง่ายๆ สัก 2 วิธี คือใช้มะตูมเชื่อมเป็นวัตถุดิบ และใช้การต้มน้ำมะตูมก็ได้เพื่อเป็นวัตถุดิบไอศกรีมสมุนไพร

อันที่จริงมีสูตรทำไอศกรีมมากมายนับสิบนับร้อยสูตร แต่ถ้าให้ส่งเสริมกิจการบ้านเมืองไทยก็ขอแนะนำส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติบ้านเมืองเขตร้อน อยากให้ลองใช้กะทิสดแทนวิปปิ้งครีม หรือใช้แทนนมสด ครีมเนยต่างๆ บางทีอาจต้องใช้ก็ใช้พวกนมเนยแต่น้อย

เช่น สูตรนี้มีคนทำไว้ ใช้น้ำคั้นกะทิสดๆ ยิ่งดีแทนวิปปิ้งครีม

สูตรอย่างง่าย เริ่มลองจากน้อยๆ น้ำคั้นกะทิสักครึ่งลิตรหรือ 500 ซีซี บางคนแนะว่าถ้าคั้นสดสะอาดพอก็ไม่ต้องนำมาต้ม แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ต้องต้มให้เดือดก่อน

บางคนบอกว่าขอเป็นกะทิกล่องเลยได้ไหม ก็ได้นะ แต่รสชาติอาจไม่ถึงใจเท่ากะทิสดๆ

จากนั้นเรานำมะตูมเชื่อมสัก 300 กรัม ไปแช่น้ำสะอาดเพื่อลดความหวานลงก็ได้ แล้วเอาไปแช่เย็นให้มะตูมแข็ง จากนั้น นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วแช่เย็นเก็บไว้ก่อนนำกะทิที่ได้ใส่นมข้นจืดลงไปสัก 100 กรัม และน้ำตาลทรายสัก 100 กรัม (แล้วแต่ความชอบหวานมากหรือน้อย) ใส่เกลือลงไปเล็กน้อยด้วยให้รสกลมกล่อม นำไปตั้งไฟอ่อนๆ คนให้เข้ากัน ไม่ต้องให้เดือดนะ และทิ้งไว้

ต่อมาก็ให้ผสมแป้งข้าวโพดสัก 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า ต้องคนให้ละลายแล้วตั้งไฟคนจนเป็นเจลใส แล้วนำน้ำแป้งข้าวโพดไปผสมกับน้ำกะทิที่เตรียมไว้แล้ว ผสมให้เข้ากัน

ขั้นตอนนี้ถ้าจะให้เนื้อไอศกรีมเนียนก็ควรหาผ้าขาวบางมากรอง

น้ำกะทิที่ได้เก็บใส่ภาชนะไว้ แล้วนำภาชนะนั้นไปแช่ในอ่างน้ำเพื่อลดอุณหภูมิ หรือบางคนเอาไปแช่ในอ่างน้ำแข็งให้เย็นเร็วขึ้น

จากนี้ถ้าใช้เครื่องทำไอศกรีมก็เทใส่เครื่องปั่นได้เลย ถ้าไม่มีก็นำไปแช่ตู้เย็นช่องแช่แข็งจนเป็นเกร็ดน้ำแข็ง แล้วนำออกมาใช้ไม้พายคลุกเคล้า แล้วไปแช่ใหม่ ทำแบบนี้ 2-3 รอบ เมื่อดูท่าจะดีแล้วก็ นำเอามะตูมเชื่อมที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มาผสมคนเข้ากัน

ถ้าเป็นเครื่องปั่นก็ดูว่าปั่นจนเป็นเนื้อไอศกรีมดีแล้วก็ใส่ มะตูมเชื่อมลงไป

เท่านี้ก็ได้ไอศกรีมเนื้อมะตูมหอมหวานอร่อย

สูตรที่ง่ายกว่าที่ต้องพึ่งวิปปิ้งครีม ใช้มะตูมแห้งที่เป็นแว่นๆ นำมาต้มน้ำ ใช้สัก 4 ถ้วยผสมวิปปิ้งครีม 1 ถ้วยผสมน้ำตาลแต่งรสด้วยก็ดีหวานตามใจชอบเท่านี้จบเลย นำไปปั่นได้

บางคนใช้สูตรผสมไข่แดงก็ได้ แล้วเติมนมสดเข้าไปอีกก็ไม่ว่ากันให้รสหวานมันขึ้น

หรือถ้าย้อนยุคกิน “ไอติมหลอด” ที่ใช้การหมุนโยกถังไปมาให้เกิดความเย็น ได้ไอติมแท่งมากิน ต้นน้ำสมุนไพร เช่น มะตูม กระเจี๊ยบ มาแต่งน้ำเชื่อมเทใส่หลอดแล้วโยกๆ ก็ได้ไอติมสมุนไพรแก้ร้อน

และเคยมีการศึกษาเบื้องต้นของนักศึกษาเภสัชศาสตร์พบว่าสารสกัดจากมะตูมแห้ง โดยการต้มน้ำแล้วทำให้เข้มข้นยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี

เทคนิคควรบดมะตูมแว่นแห้งให้เป็นชิ้นเล็กๆ ดีกว่าต้มทั้งแว่น ไอศกรีมมะตูมกินเล่นแล้วยังได้สารแอนตี้ออกซิแดนต์ชะลอความชราด้วย

 


 

ที่มา คอลัมน์ โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง / นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ/โครงการสมุนไพรเพื่อการพึงพาตนเอง/มูลนิธิสุขภาพไทย/www.thaihof.org