เกณฑ์ทางการแพทย์ล่าสุดระบุให้นอนหลับอย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาในการนอนหลับไม่เพียงพอ และคุณภาพการนอนหลับไม่ดี หลายคนไม่ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ กลับคิดว่านอนน้อยก็ไม่เห็นเป็นไร กลายเป็นสิ่งที่มองข้ามได้ไปเสียอีก

ข้อมูลจาก The American Academy of Sleep Medicine (AASM) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า คนวัยผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงขึ้นไป ไม่ใช่ 6 ชั่วโมงอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน ปัญหาที่ AASM พบก็คือ 1 ใน 3 ของคนยุคนี้ มีปัญหานอนน้อยกว่าเกณฑ์ที่ระบุ หรือน้อยกว่า 7 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าน้อยเกินไป อาจมีอันตรายกับสุขภาพได้

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อปริมาณและคุณภาพการนอนหลับลดลง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชั่วโมงการนอนไม่พอ นอนไม่หลับ นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ขาดความต่อเนื่อง แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

ผลระยะสั้น ง่วงนอนระหว่างวัน ตัดสินใจผิดพลาด อารมณ์แปรปรวน ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นช้าลง ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง วูบ หลับใน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ปัญหาคือผลระยะยาวไม่ค่อยมีคนทราบ

ผลระยะยาว ส่งผลต่อระบบเมตาบอลิก มีงานวิจัยระบุว่า คนเราถ้านอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงเป็นเวลานานต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วน เนื่องจากเมื่อเรานอนน้อยจะทำให้ฮอร์โมนเลปติน (leptin) ที่ทำให้รู้สึกอิ่มลดลง ขณะที่ฮอร์โมนกรีลิน (ghrelin) ซึ่งทำให้รู้สึกหิวเพิ่มขึ้น

อีกปัญหาที่สำคัญมาก คือ เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย ทำให้สารเคมีในสมองผิดปกติ งานวิจัยระบุว่า กลุ่มตัวอย่างที่วัยรุ่นซึ่งมีปัญหาคุณภาพการนอนหลับไม่ดี นอนไม่พอ มีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่ากลุ่มอื่น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า คนที่นอนน้อย หรือมีชั่วโมงการนอนหลับต่ำกว่าเกณฑ์ จะทำให้ความดันโลหิตสูงกว่ากลุ่มที่มีคุณภาพการนอนหลับดี

วิธีการวัดว่านอนหลับมีคุณภาพหรือไม่

เบื้องต้น เรื่องวงจรการนอนหลับจะเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายเราเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย โดยใน 1 คืนที่เราหลับไปจะเกิดวงจรการนอนหลับ 4-5 วงรอบ (cycle) ในแต่ละวงรอบต้องมีการหลับตื้น หลับลึก หลับฝัน (rapid eye movement, REM)

การหลับที่ดี คือ

– ได้นอนหลับติดต่อกัน จึงจะเกิดวงจรการนอนหลับอย่างที่ว่า จะมีการหลับตื้น หลับลึก หลับฝัน และต้องเกิด 4-5 วงรอบ ไม่ใช่ตื่นขึ้นมาเป็นช่วง ๆ อีกอย่างระยะเวลาที่อยู่ในช่วงหลับฝันควรจะนานประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าตื่นอยู่เรื่อย วงจรนี้ก็จะหายไป หลับฝันน้อยลง เราจะรู้สึกได้เลยว่าคืนนั้นเรานอนไม่พอ

– มีช่วงที่หลับฝัน คนไทยเรามีความเข้าใจว่า การหลับสนิทคือหลับแบบไม่ฝัน จริง ๆ แล้ว การนอนที่ดีต้องมีช่วงที่หลับฝันค่ะ เพียงแต่ว่าเราจำความฝันไม่ได้เท่านั้นเอง กรณีที่จำความฝันได้แสดงว่าตื่นขึ้นขณะที่อยู่ในช่วงหลับฝันพอดี ถ้าจะให้รู้แน่ว่า คืนนั้นหลับถึงช่วงหลับฝันหรือไม่ ก็ต้องมาตรวจการนอนหลับ (sleep test) ดูคลื่นสมอง

– ตื่นขึ้นมาต้องรู้สึกสดชื่น ดังนั้น ถ้าตื่นมาแล้วงัวเงียอยากนอนต่อ แบบนี้แสดงว่า คุณภาพการนอนหลับไม่ดี

เมื่อใดจึงควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคจากการนอนหลับ

หากมีปัญหานอนไม่หลับต่อเนื่องจนกระทบกิจวัตรประจำวัน มีผลเสียต่อการเรียนการงาน วันรุ่งขึ้นตื่นมางัวเงีย ไม่สดชื่น อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ แล้วแก้ด้วยการกินกาแฟให้ตื่น จะได้ไปทำงานหรือปฏิบัติภารกิจในวันรุ่งขึ้นได้ ช่วงกลางวันพอไหว แต่ผลคือในคืนนั้นตาจะค้าง นอนหลับยาก ตาค้าง ดังนั้น กาแฟที่มากเกินไป ส่งผลต่อวงจรการนอนหลับแน่นอน

หมายเหตุ : ข้อมูลจาก ศาสตราจารย์แพทย์หญิงอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์ ศูนย์โรคการนอนหลับ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นายกสมาคมโรคจากการนอนหลับแห่งประเทศไทย คอลัมน์สุขภาพดีกับรามาฯ

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

การแพร่ระบาดของโรค กระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตหลายอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนไป โดยที่ “เทคโนโลยี” และ “นวัตกรรม” เข้ามามีบทบาทชัดเจนมากขึ้น กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสกัดกั้นและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และอำนวยความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้คน

ในมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2563 จัดขึ้นวันที่ 13-23 พฤศจิกายน 2563 ที่อาคาร Challenger 2 Impact เมืองทองธานี ได้นิทรรศการ ‘MICRO MONSTER มหันตภัยจิ๋ว’ และกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองปีสากลแห่งการพยาบาลและผดุงครรภ์ (International Year of the Nurse and the Midwifery) ในวาระครบรอบ 200 ปี วันเกิดของ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล พยาบาลชาวอังกฤษ ผู้มีคุณูปการต่อระบบแผนงานพยาบาลสมัยใหม่ ภายใต้แนวคิดและหลักการทำงานของ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ที่ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของสุขอนามัยและนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการป้องกันตนเอง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดที่จะยังอยู่กับมนุษย์ไปอีกนาน เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบัน

ในปัจจุบันไม่มีใครไม่รู้จักโรค Covid-19 ที่ร้ายแรงระดับโลก แต่นี่ถือว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่โลกของเรามีโรคระบาดที่ร้ายแรงเกิดขึ้น หากรวบรวมมาแล้วจะมี 6 ครั้ง ในประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบให้คนต้องล้มตายจำนวนมาก ทั้งกาฬโรค ไข้หวัดใหญ่สเปน  โรคเอดส์  กาฬโรคครั้งที่ 3 ฝีดาษหรือไข้ทรพิษ อหิวาตกโรคหรือโรคห่า จนมาถึงปัจจุบัน Covid-19 ที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลก

ทุกคนรู้หรือไม่ว่า การป้องกันให้ปลอดภัยจากโรคร้าย และมีสุขภาพแข็งแรงทำได้ง่ายๆเพียงแค่ต้องรู้จักการเริ่มต้นการดูแลตัวเอง โดยนิทรรศการ MICRO MONSTER มหันตภัยจิ๋ว ได้จัดแสดง 6 สถานี สถานีที่1 สถานีสู่อนาคต ที่จะสื่อถึง มนุษย์ทุกคนล้วนแล้วสามารถปรับตัวรับปัญหาต่างๆได้อย่างเก่งกาจ มนุษย์จะหาทางแก้ปัญหา เรียนรู้และปรับตัว เพื่อต่อสู้ให้ผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ไปอย่างแน่นอน สถานีที่2 สถานีกักเชื้อ สื่อถึงการแพร่กระจายเชื้อโรคผ่านการ ไอ จาม นั้นมีวิธีที่สามารถปฏิบัติกันได้ง่ายๆเพียงแค่เวลาจามหรือไอให้นำทิชชู่ปิดกั้นไว้ ใช้ข้อศอกหรือต้นแขนหากไม่มีทิชชู่ปิดปากในเวลาที่จะจามหรือไอ และสวมหน้ากากอนามัย แล้วทุกคนสงสัยใช่ไหมว่าทำไม! ไม่ใช้มือปิด เพราะ การนำมือปิดปากอาจจะทำให้นำพาหะนั้นติดไปแพร่ระบาดได้อีกด้วย

สถานีที่3 สถานีไร้การสัมผัส สื่อถึงเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยลดการติดเชื้อผ่านการสัมผัสและเพิ่มการเว้นระยะห่างทางสังคม สถานีที่4 สถานีวิถีชีวิตแนวใหม่ New Normal หรือ ความปกติใหม่ จะชี้ให้เห็นถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากการระบาดของโรค Covid-19 ทำให้พฤติกรรมของการใช้ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไปไม่ว่าจะการใช้ชีวิตในแต่ละวันในการเว้นระยะห่าง การล้างมือบ่อยๆเพื่อเป็นการป้องกันโรคไม่ให้แพร่กระจาย  

สถานีที่5 สถานีมือสะอาด ที่จะสื่อถึงอวัยวะที่นำพาหะมาโดย มือเป็นการนำพาหะตัวจิ๋วเข้าสู่ร่างกายผ่านการสัมผัส บริเวณหน้าหรือส่วนต่างๆของร่างกาย จึงมีขั้นตอนในการล้างมืออย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อกัน และสถานที่สุดท้าย สถานีที่6 สถานีทำความสะอาด ชี้ให้เห็นถึงเชื้อโรคว่าถ้าหากเรามีการเสี่ยงเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงการติดเชื้อโรคเรามีวิธีการป้องกันอย่างไร ซึ่งเชื้อไวรัสที่อยู่ในละอองมีเวลาอยู่ได้นานถึง 3  ชม.และอยู่รอดบนพื้นผิวนานเป็นวันในอุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียล และความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 40-65%

เห็นกันไหมละคะว่า ถ้าเราตระหนักถึงความสำคัญเล็กๆน้อยๆก็จะพ้นภัยวิกฤตโรคระบาดนี้ไปได้ด้วยดี หากเรารู้จักป้องกันการระบาดจากตัวเราเองก่อนก็จะส่งผลที่ดีในสภาพแวดล้อมรอบๆตัวได้อีกด้วย ซึ่งนิทรรศการนี้จัดมาเพื่อให้เป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้ในการใช้ชีวิตให้ถูกต้องและถูกวิธีให้พ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

แย่แล้วค่ะ หุ่นพังมากช่วงนี้เพราะเพลิดเพลินกับการทานมากเกินไปแล้ว เห็นทีต้องเลือกอาหารชนิดที่ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีอย่าง “โยเกิร์ต” กันซะแล้ว แต่จะทานโยเกิร์ตเพียวๆ อย่างเดียวก็น่าเบื่อเกินไป วันนี้เราเลยมีสูตรการช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย “โยเกิร์ต” มาฝากกันค่ะ

โยเกิร์ตไขมันต่ำ+คอร์นเฟลกผลไม้อบกรอบ+ผลเบอร์รี่สด
สำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดหุ่นแต่ก็กลัวว่าจะทานแต่โยเกิร์ตเปล่าๆ ในตอนเช้าจะทำให้ไม่อิ่มท้อง ก็ต้องลองสูตรนี้เลยค่ะ “โยเกิร์ตคอร์นเฟลกเบอร์รี่” (โยเกิร์ตไขมันต่ำ+คอร์นเฟลกผลไม้อบกรอบ+ผลเบอร์รี่สด) นอกจากไขมันต่ำแล้วยังให้ความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมาะกับเช้าวันใหม่ได้ดีทีเดียว แถมยังได้วิตามินซีสูงจากผลเบอร์รี่อีกด้วย อัตราส่วนที่เราใช้สำหรับสูตรนี้คือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย : คอร์นเฟลกผลไม้อบกรอบ 3 ช้อนโต๊ะ : ผลเบอร์รี่ 4-6 ลูก วิธีการทานก็แค่ใส่คอร์นเฟลก และผลเบอร์รี่ลงในโยเกิร์ต สำหรับใครที่อยากได้รสชาติหอมหวานขึ้นให้ใส่น้ำผึ้งลงไปประมาณ 1 ช้อนชาก็พอค่ะ เท่านี้ก็จะได้ทานอาหารเช้าแบบไม่กลัวหุ่นเสียกันแล้ว

โยเกิร์ตไขมันต่ำ+น้ำผึ้ง+มะนาว+นมสด
ดีท็อกซ์ร่างกายทุกเช้าหลังตื่นนอนง่ายๆ ให้นำโยเกิร์ตไขมันต่ำ 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน จากนั้นเทนม 1 ถ้วยตามลงไป คนให้ส่วนผสมละลายเข้ากันหมด แล้วให้ดื่มจนหมดแก้วเลยนะคะ สูตรนี้จะทำให้การขับถ่ายคล่องมากๆ ในยามเช้า ที่สำคัญยังทำให้ผิวพรรณผุดผ่องขึ้น สุขภาพดีทั้งภายนอกและภายในเลยล่ะค่ะ

โยเกิร์ตไขมันต่ำ+น้ำแอปเปิ้ล+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว+เกลือ
จัดมื้อเย็นด้วยสลัดสักจานคงจะอร่อย และถ้ายิ่งได้น้ำสลัดที่ไม่ต้องกังวลว่าจะทานแล้วอ้วน ก็ต้องลองสูตรน้ำสลัดโยเกิร์ตสูตรนี้เลยค่ะ ใช้โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย : น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำแอปเปิ้ล 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ และเกลืออีกเล็กน้อย ผสมเข้าด้วยกัน รสชาติที่ได้จะออกเปรี้ยวอมหวานอร่อยกำลังดีค่ะ แต่ถ้าใครชอบทานรสเปรี้ยวหน่อยก็เติมมะนาวหรือน้ำแอปเปิ้ลเพิ่มเข้าไปได้ แนะนำให้ทานคู่กับสลัดผลไม้หรือสลัดอกไก่จะฟินมากเลยค่ะ

โยเกิร์ตไขมันต่ำ+ข้าวโอ๊ต+แอปเปิ้ล+สตรอว์เบอร์รี่
จัดเมนูลดหุ่นแบบที่เก็บไว้ในตู้เย็น จะทานตอนไหนก็เอาออกมาทานได้ง่ายๆ ให้ลองทำสูตรนี้ค่ะ เริ่มด้วยการหาภาชนะที่แช่เย็นได้ เช่น กล่องพลาสติกคุณภาพดีมีฝาปิด จากนั้นให้ใส่ข้าวโอ๊ตลงไปประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยแอปเปิ้ลและสตรอว์เบอร์รี่หั่นชิ้นพอดีคำ (เปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ส้ม, กล้วยหรือองุ่นก็ได้เช่นกันค่ะ) จากนั้นเทโยเกิร์ตตามลงไปจนหมด คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่กล่องปิดฝาแล้วนำเข้าตู้เย็นประมาณ 1 คืนค่ะ หลังจากนั้นข้าวโอ๊ตจะพองตัวได้ที่ ทานได้อร่อยมากๆ และช่วยให้อิ่มท้องแบบไม่ต้องกลัวน้ำหนักขึ้นเลยค่ะ

เห็นไหมล่ะคะว่าการทานโยเกิร์ตสำหรับควบคุมน้ำหนัก จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อเลยค่ะ มีหลายรูปแบบที่เราสามารถสนุกกับการทานโยเกิร์ตเพื่อสร้างหุ่นสวยและสุขภาพที่ดีให้กับตัวเอง ลองทำตามสูตรที่คุณชื่นชอบกันดูนะคะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติด “เชื้อไวรัสเดงกี” ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์คือ สายพันธุ์ 1, 2, 3 และ 4 การระบาดมักเกิดในช่วงฤดูฝน โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งในอดีตจะพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากในวัยเด็ก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มอายุผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกได้ขยายไปยังกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยทำงานมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันตัวเลขของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

อาการของโรคไข้เลือดออก

อาการและความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นในวัยเด็กและผู้ใหญ่นั้นไม่ต่างกันมาก เนื่องจากอายุไม่ได้เป็นตัวชี้ชัดแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงที่ต่างกันของแต่ละสายพันธุ์ รวมไปถึงพันธุกรรมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แม้จะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์เดียวกัน ก็มีอาการความรุนแรงไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกจะมาด้วยอาการเบื้องต้นที่เหมือนกัน ดังนี้

– มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียส

– ปวดเมื่อยตามตัว บางรายปวดไปถึงกระดูก

– คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

– มีเลือดออกที่ผิวหนัง เป็นจุดเลือดเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้

– มีเลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน

– เกล็ดเลือดต่ำ

– อุจจาระเป็นเลือด

ระยะของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกสามารถแบ่งได้ 3 ระยะด้วยกันคือ ระยะไข้สูง เป็นช่วงที่ไม่อันตรายเท่าไร แต่อาจทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย หมดแรง อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อผ่านระยะไข้สูงแล้วจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัวที่ร่างกายจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นจนกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่จะมีผู้ป่วยส่วนน้อยที่เข้าสู่ระยะวิกฤต ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นอันตรายที่สุดโดยเป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีไข้สูงและไข้ลดลง แล้วมีอาการช็อกตามมา

วิธีการรักษา

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งมีไข้ แนะนำให้พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำ รับประทานอาหารอ่อน ๆสามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ ไม่ควรรับประทานยาไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน หากผู้ป่วยมีไข้ได้ประมาณ 3-4 วันแล้วไม่ลด แพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ หากเจาะเลือดแล้วพบว่าเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จะแนะนำให้นอนโรงพยาบาลเพื่อรับน้ำเลือดและติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ป่วยอาจเข้าสู่ระยะวิกฤตได้ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ

เป็นแล้วกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า โรคไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ เพราะฉะนั้น คนหนึ่งคนสามารถเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง เช่น หากเคยเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 แล้วหาย ร่างกายจะมีภูมิต้านทานไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์อื่น ๆ ที่เหลือได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรกนั้น อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่หากได้รับการติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 อาการของผู้ป่วยบางรายจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ก็พบได้กับคนส่วนน้อยเท่านั้น

วิธีการป้องกัน

เนื่องจากไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค ดังนั้น ควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชนด้วยการปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังให้มิดชิด ไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ เปลี่ยนน้ำในภาชนะทุกสัปดาห์ ดูแลความสะอาดปรับสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้ปราศจากภาชนะที่มีน้ำขังได้ เช่น ยางรถยนต์ จาน ชามเก่าที่วางทิ้งไว้ เป็นต้น

______________________

ที่มา : คอลัมน์ สุขภาพดีกับรามาฯ โดย ผศ.ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หมายเหตุ : ผศ.ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

แม้จะเริ่มทยอยปลดล็อคดาวน์มาจนถึงเฟส 4 แต่การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจก็ยังไม่ค่อยดีนัก หลายคนเลือกฝากท้องกับอาหารสำเร็จรูปราคาประหยัด ให้อิ่มท้องไปเป็นมื้อๆ ในสภาวะตกงาน เงินเดือนลดลง รายจ่ายเท่าเดิม

เป็นที่ทราบดีว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีโซเดียมสูง ในทางโภชนาการดูไม่ค่อยมีประโยชน์นักกับผู้รับประทาน แต่ก็พอมีหนทางที่จะเลือกรับประทานที่เป็นมิตรกับคนรักสุขภาพได้ หากปฏิบัติตามเคล็ดลับนี้

อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษากรมอนามัย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านโภชนาการ สสส. เผยเคล็ดลับว่า

ขั้นที่ 1 ต้มน้ำให้เดือดใส่เส้นลงไปต้ม 1-2 นาที เทน้ำทิ้งเพื่อล้างเอาโซเดียมบางส่วนออก เติมน้ำพอประมาณ แล้วต้มให้เดือด

ขั้นที่ 2 เติมเนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้ หรือโปรตีนเกษตร ใส่ผักตามชอบ ผักบุ้ง ถั่วงอก ฯลฯ

ขั้นที่ 3 ใส่เครื่องปรุงแค่ครึ่งซอง เพื่อลดการได้รับโซเดียมและไขมันมากเกินไป

สำหรับวิธีการกิน ใช้หลัก “กินเนื้อ เหลือน้ำ ไม่ยกซดน้ำจนหมดเกลี้ยง” ขณะเดียวกันควรกำหนดโควตา กินไม่เกินวันละซอง สัปดาห์ไม่เกิน 2 – 3 ซอง ที่สำคัญต้องกินให้หลากหลาย และตบท้ายด้วยผลไม้ทุกมื้อ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ สสส.

สมอพิเภก

นพ.มรุต จิรเศรษฐศิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำคนไทยบริโภคพืชผักสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทานของร่างกาย สู้เชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แก่  เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดออรินจิ เห็ดหลินจือ  พลูคาวหรือผักคาวตอง และส่วนผลไม้ได้แก่ หม่อนผลสด ส้ม มะนาว รวมทั้ง สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม  ที่นิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่า “ ตรีผลา”  ซึ่งผลไม้กลุ่มนี้มี วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันการติดเชื้อหวัดโควิดที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก

 

“ตรีผลา” เป็นหนึ่งในตำราแพทย์แผนไทย สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันโรค เป็นมหาพิกัดยาต้านโรคฤดูร้อน จัดอยู่ในมหาพิกัดยา หมายถึง พิกัดยาที่ใหญ่กว่าพิกัดธรรมดา เพราะใช้ตัวยาสมุนไพรมากกว่า 2 ตัวขึ้นไปมารวมกัน โดยน้ำหนักยาแต่ละตัวไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าต้องการเน้นหนักให้แก้กองฤดูอะไร แก้กองธาตุไหน หรือต้องการแก้โรคแทรกใด

สำหรับตรีผลาที่เป็นมหาพิกัดยาต้านโรคฤดูร้อนนั้น ประกอบด้วยผลไม้ 3 ชนิด ได้แก่ ลูกสมอพิเภก ลูกสมอไทย และลูกมะขามป้อม ตามปกติ ยาตรีผลาที่ประกอบด้วยผลไม้ทั้ง 3 ชนิด อย่างละเท่าๆ กัน เมื่อปรุงเป็นยาก็สามารถแก้โรคได้ทุกกองธาตุ เพราะลูกมะขามป้อมใช้แก้ธาตุลม ไม่ให้เกิดอาการสวิงสวาย เป็นลมหน้ามืด และลูกสมอพิเภกใช้แก้ธาตุไฟป้องกันไม่ให้เกิดอาการร้อนใน กำเดา เป็นแผลในปาก หรือผดผื่นปะทุขึ้นตามผิวหนัง เนื่องจากอาการร้อนใน โดยมีสูตรยา ดังนี้

ลูกสมอพิเภก 12 ส่วน แก้ธาตุไฟ

ลูกสมอไทย 8 ส่วน แก้ธาตุลม

ลูกมะขามป้อม 4 ส่วน แก้ธาตุดิน ธาตุน้ำ

วิธีปรุงยาตรีผลามหาพิกัด นำสมุนไพรทั้ง 3 ตามสัดส่วนที่ว่ามาต้มรวมกัน ใส่น้ำพอท่วม หรือประมาณ 2 เท่า ของสมุนไพร ต้มด้วยไฟปานกลาง ประมาณ 20-30 นาที จนยาเดือด ดื่ม 1 แก้ว ตอนท้องว่าง เช่น ก่อนนอน หรือตอนตื่นนอน อาจตามด้วยดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำสะอาด 1 แก้ว

สำหรับสรรพคุณของตำรับยาตรีผลานอกเหนือจากจะช่วยปรับธาตุของร่างกายในฤดูร้อนอย่างที่กล่าวมาแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยามากมายเหลือคณานับ ดังนี้

1.ช่วยดีท็อกซ์ร่างกายให้สะอาด โดยให้ผลที่ตับ-สะอาด เลือด-สะอาด และระบบลำไส้-สะอาด

2.ช่วยควบคุมน้ำหนัก และควบคุมความอยากอาหาร

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส

 

ลูกสมอไทย

4. ช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของร่างกาย ลดกระบวนการอักเสบของร่างกาย

5.ชะลอความเสื่อมของตา

6.ช่วยลดไขมันพอกตับ และลดไขมันในเลือด ป้องกันการทำลายของตับจากแอลกอฮอล์

7. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

8.ช่วยขับเสมหะ แก้ไอ แก้หอบหืด

9.ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

10.ต้านมะเร็ง มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง แต่ไม่มีผลต่อเซลล์ปกติ โดยมีการศึกษาในเซลล์มะเร็งเต้านมและตับอ่อนของคน

11.ช่วยปรับสมดุลลำไส้ รักษาโรคลำไส้แปรปรวน ได้ชื่อว่าเป็นสมุนไพร “รู้ปิดรู้เปิด”

12.ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก “รู้ปิดรู้เปิด” คือทำให้ระบบขับถ่ายระบายและหยุดเองได้อย่างอัตโนมัติสมดุล

13.รักษาริดสีดวงทวารหนัก

14. ลดระดับฮอร์โมนความเครียด

15. ป้องกันฟันผุ (ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยา chlorhexidine)

16. ลดการอักเสบของข้อ แก้ปวดได้ดีเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน (indomethacin) แต่ไม่มีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร

17. มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด (สกัดเชื้อจากผู้ป่วย เอชไอวี)

ผลข้างเคียง อาจทำให้ระบายมากเกินในคนธาตุอ่อน สามารถปรับลดการรับประทานยาลงได้ กลุ่มคนที่ไม่ควรใช้ตรีผลา คือ คนท้อง มีภาวะตับ ไต ผิดปกติรุนแรง มีภาวะท้องเสีย

กรณีใช้ตำรับตรีผลาในฤดูฝนและฤดูหนาวเพื่อปรับธาตุ จะมีการปรับสัดส่วนยาแตกต่างกันไปจากฤดูร้อน

สอบถามเพิ่มเติม คลินิกร้านยาโพธิ์เงินโอสถ อภัยภูเบศร โทรศัพท์ (037) 211- 088 ต่อ 3333 หรือ (087) 582-0597 หรือ (090) 984-6751

ที่มา : เทคโนโลยีชาวบ้าน

อากาศที่ชวนป่วยในเมืองหลวงขณะนี้ คงจะหนีไม่พ้นปัญหามลภาวะทางอากาศที่เกาะกุมผืนฟ้าอย่างค่าฝุ่น PM 2.5 ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ซึ่งเกินระยะปลอดภัยไปมากจนเข้าขั้นอันตรายที่อาจส่งผลเรื่องสุขภาพปอดในระยะยาวได้ในอนาคต จนทำให้เวลาออกจากบ้านทีไร เป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยหนีฝุ่นกันเลยทีเดียว เปรียบเสมือนหน้ากากอนามัยเป็นอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์เราไปแล้ว

หรือแม้แต่ฝุ่นละอองขนาดจิ๋วที่มักจะชอบอาศัยอยู่บนตู้เสื้อผ้า เตียงนอน พื้นที่มิดชิดที่สุดอย่างห้องเก็บของที่ปะปนอยู่ในอากาศภายในบ้านของเราเอง บวกกับภาระหน้าที่จากงานที่อาจจะยุ่งเหยิงจนทำให้ละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเองไป

แต่เราสามารถกู้วิกฤตบ้านของเราให้กลับมาเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ได้ง่ายมากค่ะซิส ซึ่งวิธีลดมลภาวะเป็นพิษนี้ ก็ง่ายแสนง่าย นั่นก็คือการสร้างเครื่องกรองอากาศแบบธรรมชาติ ด้วยการปลูกต้นไม้ภายในบ้านเพื่อลดการเกิดฝุ่นนั่นเองจ้า

เราจึงคัดสรร ต้นไม้ 6 สายพันธุ์ ที่ไม่ได้มีประโยชน์แค่ปลูกประดับ ตกแต่งเพื่อความสวยงาม แต่ยังช่วยดูดซับฝุ่นละออง ฟอกอากาศและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่บ้านของเรามาฝากกันจ้า

1.ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกรเป็นพืชที่มีลักษณะโดดเด่นที่ใบสวยงามแปลกตา ปลูกได้ทั้งภายนอกอาคาร และปลูกลงในกระถางเพื่อประดับภายในอาคารและบ้านเรือน ถึงแม้จะเป็นพืชที่โตช้าแต่ก็ปลูกง่ายและมีความทนทาน ลิ้นมังกรจะมีหลายชนิด เช่น ลิ้นมังกรสั้น ลิ้นมังกรยาว ลิ้นมังกรลาย หรือเรียกว่าหอกพระอินทร์ ลิ้นมังกรมีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ใบโผล่พ้นดินเป็นใบยาวแหลมคล้ายหอกแข็งตั้งตรงสูงประมาณ 1 เมตร ใบสีเขียว มีลายตามแนวขวาง ลิ้นมังกรยาวจะมีสีเหลืองบริเวณขอบใบเป็นแนวยาว ดอกมีสีขาวอมเขียว

ถึงแม้คุณสมบัติในการดูดสารพิษของลิ้นมังกรจะไม่มากนัก แต่คุณสมบัติเด่นของลิ้นมังกรอยู่ที่เป็นพืชที่คายออกซิเจนออกมาตอนกลางคืนและดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป จึงเหมาะที่จะปลูกไว้ในห้องนอน และเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทาน แม้มีแสงน้อย และขาดน้ำเป็นเวลาหลายวัน ไม่ค่อยพบโรคและแมลงรบกวน

การปลูก สามารถขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่งและแยกหน่อหรือตัดใบเป็นท่อนๆ แล้วปักชำ ชอบดินร่วนซุย ใช้ดินร่วน 3 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การดูแล ต้องการแสงพอสมควร ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำเดือนละครั้ง และเปลี่ยนกระถางปีละครั้ง

2. งาช้างบอนเซล

งาช้างบอลเซล (Sansevieria boncellensis) อยู่ในพืชสกุลลิ้นมังกร (Sansevieria) เป็นพืชอวบน้ำประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว ลำต้นเป็นเหง้า หรือไหลอยู่ใต้ดิน จะมีปล้องสั้นและอวบอ้วน ลักษณะใบกลม มีความสูงถึง 40-50 ซม. และมีเส้นใบขนานไปตามแนวยาว ตั้งแต่โคนกาบใบไปจนจรดปลายใบ ภายในใบจะเก็บสะสมน้ำไว้จำนวนมาก ทำให้มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้เป็นเวลานาน

มีคุณสมบัติเด่น คือ สามารถกำจัดสารมลพิษในอากาศได้อย่างดีเยี่ยม โดยพบว่าการปลูกต้นไม้ในอาคารเป็นวิธีการกรองอากาศที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการลดมวลสารอันตราย อีกอย่างงาช้างบอลเซลยังมีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ทนทานต่อโรคและแมลง ที่สำคัญการปลูกเลี้ยงและดูแลรักษาง่าย เนื่องจากลำต้นเทียมหรือใบมีลักษณะโดดเด่นต่างกับพืชอื่น รวมถึงดอกที่ออกเป็นช่อสวยงาม จึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั้งปลูกในกระถาง และปลูกในแปลงจัดสวน หรือจะดัดบิดเป็นเกลียวพันหลายต้นเข้าด้วยกันก็เก๋ไปอีกแบบ

นอกจากจะปลูกเพื่อดูดสารพิษในบ้านแล้ว เรายังสามารถปลูกเพื่อเสริมความปัง ความเฮงให้แก่บ้านของเราก็ย่อมได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าเป็นว่านที่ช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลแก่คนในครอบครัว ถ้าเปิดร้านค้าก็ช่วยให้ผู้คนเข้าร้านมากขึ้น ทำให้ทำมาค้าขายร่ำรวย

 

การปลูก ขยายพันธุ์ด้วยการแตกเหง้าใหม่ ใช้วิธีแยกเหง้าปลูกด้วยการขุดแยกเหง้าอ่อนออกมาแยกปลูกเป็นต้นใหม่ ส่วนการปลูกในกระถาง จำเป็นต้องใช้วัสดุปลูกที่ผสมระหว่างดินกับวัสดุอินทรีย์ อาทิ ปุ๋ยคอก แกลบดำ อัตราส่วนผสมประมาณ 1:3 – 5 เพื่อให้มีอินทรีย์วัตถุมาก เพราะว่านงาช้างเป็นพืชที่เติบโตได้ดี มีลำต้นสวยงามหากดินมีความร่วนซุย และดินมีอินทรียวัตถุสูง รวมถึงดินมีความชื้นตลอดเวลา

การดูแล รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนการให้อาหารแก่งาช้างบอลเซล เราควรให้ปุ๋ย ที่เป็นปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

3.กวักมรกต

ต้นกวักมรกต เป็นต้นไม้ที่มีการตั้งชื่อที่เป็นมงคล เหมาะสำหรับนำมาประดับเป็นต้นไม้ในบ้าน และในออฟฟิศ เพราะสามารถอยู่ได้ในที่แสงน้อย ลักษณะลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน แท่งใบเหนือดิน ก้านใบอวบน้ำ ใบประกอบใบย่อย ผิวใบเรียบมัน ออกดอกเป็นแท่ง ช่อดอกคล้ายดอกเดหลี ลำต้นแตกกอง่ายและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในต่างประเทศ ในการตกแต่งในบ้านและสำนักงาน ไม่ค่อยพบปัญหาแมลงรบกวน แต่จะมีปัญหาโรคหัวและรากเน่า ถ้ารดน้ำมากเกินไป

นอกจากจะปลูกไว้ประดับตกแต่งแล้ว กวักมรกตยังเป็นไม้ประดับที่ช่วยกรองอากาศและดูดสารพิษได้ดี จึงเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

การปลูก ปลูกโดยใช้ดินทั่ว ๆ ไป ผสมทราย แกลบดำ ขี้เถ้าดำผสมมะพร้าวสับ และสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ การแยกหน่อปลูก และการปักชำใบ โดยตัดใบมาปักชำในน้ำ สักระยะหนึ่งที่โคนใบจะเห็นเป็นก้อนกลม หรือเกือบกลมมีสีขุ่นและมีรากออกมา เมื่อรากงอกออกมาสักระยะหนึ่งก็นำไปปักชำในดินได้ค่ะ

การดูแลรักษา รดน้ำไม่ต้องมากนัก แต่ควรใช้ปุ๋ยละลายน้ำรดเดือนละครั้ง

4.คลีบปลาวาฬ

คลีบปลาวาฬ เป็นไม้อยู่ในสกุลเดียวกับต้นลิ้นมังกร แต่จะมีลักษณะใบที่ใหญ่มากหลายเท่า ประมาณหนึ่งฟุต เป็นไม้ที่มีเหง้าและไหลใต้ดินเช่นเดียวกับต้นลิ้นมังกร ลักษณะใบแข็ง มีลาย คล้ายครีบปลาวาฬ ซึ่งเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปลูกแล้วมีคุณค่าพิเศษช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ได้รวดเร็วกว่าปลูกต้นไม้ชนิดใด ๆ อีกด้วย

ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดจัด ทนแล้งได้ดีมาก ไม่ชอบน้ำท่วมขังอย่างเด็ดขาด นิยมปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ ตั้งประดับในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน รดน้ำพอชุ่ม 3-4 วัน/ครั้ง ปุ๋ยที่ชอบคือปุ๋ยคอกหรือขี้วัวขี้ควายแห้งโรยบาง ๆ ตามหน้าดินรอบโคนต้น 15 วันครั้ง จะทำให้ต้นแข็งแรงมีใบสวยงามแบบไม่ขาดและจะมีต้นใหม่แทงขึ้นเรื่อย ๆ

ลักษณะเด่นของต้นครีบปลาวาฬ คือเป็นไม้ฟอกอากาศเช่นเดียวกับต้นลิ้นมังกร สามารถปลูกได้ในห้องนอนเช่นกัน เพราะต้นครีบปลาวาฬจะคายออกซิเจนในเวลากลางคืน

การปลูก ปลูกได้โดยใช้ดินร่วนทั่วไป หรือจะให้ดีแนะนำให้ปลูกด้วยดินใบก้ามปู รองก้นกระถางด้วยมะพร้าวสับ รดน้ำสองสามวันครั้งก็พอ เป็นไม้ชอบแดดจัด สำหรับวิธีการขยายพันธุ์ ก็รอให้เหง้าที่อยู่ใต้ดินแตกออกมา และขึ้นเป็นใบอ่อน จากนั้นก็สามารถตัดและแยกเหง้ามาปลูกเป็นต้นไม้ได้เลย

การดูแล ให้ปุ๋ยอย่างน้อย 2-3 ครั้ง/เดือน ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยขี้วัวก็ได้

5. ฟิโลหูช้าง

ฟิโลหูช้าง เป็นสายพันธุ์เดียวกับ ฟิโลเดนดรอนต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและมีความโดดเด่นในเรื่องของใบ ทั้งรูปฟอร์มใบและสีสัน จึงเป็นพันธุ์ไม้ใบหรือไม้ประดับที่ดูทรงต้นและใบมากกว่าที่จะดูดอก

ฟิโลหูช้างนี้มีจุดเด่นตรงที่มีขนาดใบค่อนข้างใหญ่ สีเขียวเป็นมันสวยงาม จึงนิยมตัดใบไปใช้ในการจัดแจกันไม้ดอก ความสูงของต้นเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 เมตร นิยมปลูกเป็นไม้กระถาง สามารถปลูกได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ในที่ที่มีแดดรำไรหรือเพียงครึ่งวัน หรือที่แสงพอประมาณ เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกและดูแลรักษาง่าย ต้องการความชื้นสูง ควรรดน้ำทุกวัน(เพราะเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก) ใส่ปุ๋ยบำรุงเดือนละครั้ง

ฟิโลหูช้างมีประสิทธิภาพในการคายความชื้นสูงเนื่องจากมีขนาดใบใหญ่ และมีอัตราการดูดสารพิษปานกลาง

การปลูก ดินปลูกควรใช้ ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ทรายหยาบ 1 ส่วน เมื่อปลูกแล้วให้ใช้ไม้หลักที่หุ้มด้วยกาบมะพร้าวปักไว้ตรงกลางกระถางเพื่อเป็นที่ยึดเกาะของราก ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละครั้ง ส่วนการขยายพันธุ์สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด และปักชำยอด

การดูแล เป็นพืชต้องการร่มเงาและต้องการแสงเพียง 50-60 เปอร์เซ็นต์ ต้องการความชื้นสูง รดน้ำพอชุ่มอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง

6. ฟิโลใบหัวใจ

ฟิโลใบหัวใจเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยที่เป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะปลูกในกระถางแขวน ให้ห้อยย้อยลักษณะเดียวกับพลูด่าง แต่สวยงามด้วยใบสีเขียวเป็นมันและมีรูปคล้ายหัวใจ เป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนทาน

ฟิโลใบหัวใจเป็นไม้เลื้อยที่มีเถาทอดเลื้อยไปตามสิ่งยึดเกาะ เถากลม และแบ่งออกเป็นข้อ ๆ แต่ละข้อจะมีรากงอกยาวออกมาเพื่อยึดเกาะและดูดซึมอาหาร ใบอ่อนจะแตกออกจากปลายยอด และถ้าหากหมั่นเด็ดยอดจะแตกออกเป็นทรงพุ่มมากขึ้น เจริญเติบโตได้แม้ในที่อับแสง ไม่ต้องการน้ำมากนัก ดังนั้นในห้องที่มีอากาศแห้งฟิโลใบหัวใจจะโตช้า เป็นพืชที่มีอัตราการคายความชื้นและอัตราการดูดสารพิษ ในระดับปานกลาง

การปลูก ปลูกได้ดีในดินร่วนซุย ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วนและสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีการนำกิ่งมาปักชำ

การดูแล เป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องการแสงมาก ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ แต่ต้องการความชื้นสูง จึงควรฉีดละอองน้ำให้บ่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้ง ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดให้เดือนละครั้ง ใช้ฟองน้ำหรือผ้าหมาดเช็ดทำความสะอาดใบเพื่อกำจัดฝุ่นละอองจะทำให้เจริญเติบโตดีขึ้นและดูสวยงาม

ไม่ใช่เพียงต้นไม้ 6 ชนิด ที่เราได้นำเสนอไปเท่านั้นนะคะ แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า ต้นไม้ ก็ล้วนมีคุณสมบัติดูดซับก๊าซคาร์บอนไดร์ออกไซด์และคายออกซิเจนด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อเราปลูกต้นไม้ช่วยดักฝุ่นในบ้านแล้ว ก็อย่าลืมรดน้ำไล่ฝุ่น เช็ดคราบสกปรกที่เกาะอยู่ตามใบไม้ด้วยนะคะ เพราะด้วยธรรมชาติต้นไม้ไม่ได้ดูดสารอาหารทางรากเพียงอย่างเดียว แต่ยังรับสารอาหารทางใบและทางอากาศได้อีกด้วย

เคล็ด(ไม่)ลับ 5 วิธีล้างผัก-ผลไม้ ง่ายๆ ช่วยลดสารฆ่าแมลง และสิ่งสกปรก

อยากทานผัก และผลไม้แบบปลอดภัย ไร้สารฆ่าแมลง ไม่ยากอย่างที่คิด เส้นทางเศรษฐีออนไลน์มีเคล็ด(ไม่)ลับ 5 วิธีล้างผัก-ผลไม้ ง่ายๆ ช่วยลดสารฆ่าแมลง และสิ่งสกปรก จากเพจ Fda Thai ของ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา มาฝาก

ล้างผัก ผลไม้ โดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่ทิ้งไว้นาน 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ 90-95%

แช่ผัก ผลไม้ ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู ใช้น้ำส้มสายชูละลายน้ำความเข้มข้น 0.5% (น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวด/น้ำ 4 ลิตร) แช่ผักที่เด็ดแล้วนาน 15 นาที  ลดปริมาณสารพิษได้ 60-84%

 

เปิดก๊อกน้ำให้ไหลผ่าน ล้างนาน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63%

ลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ 50% การต้มจะลดได้เท่ากับการลวกผัก แต่อีก 50% สารพิษจะออกจากผักไปอยู่ในน้ำแกง

แช่ผัก ผลไม้ในน้ำสะอาด ควรล้างผักผลไม้ให้สะอาดจากสิ่งสกปรกครั้งหนึ่งก่อน และเด็ดเป็นใบๆ แช่ลงในอ่าง ใช้น้ำปริมาณ 4 ลิตร แช่นาน 15 นาที ลดปริมาณสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33%

ข้อมูลจากเพจ Fda Thai

ผู้เขียน เส้นทางเศรษฐีออนไลน์

สารพัดอาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละมื้อแต่ละวัน แทบไม่มีใครรู้เลยว่าในเมนูเหล่านั้นมีส่วนผสมที่เป็นพิษต่อร่างกายปะปนเข้าไปมากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นการหาตัวช่วยเพื่อล้างพิษ ขับสารพิษออกจากร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เรามีผักผลไม้ช่วยล้างพิษที่หาได้ใกล้ตัวมาบอกต่อ

1.ตำลึง นอกจากจะเป็นผักที่มีสารบางชนิดช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายได้ดีแล้ว ยังเป็นผักที่สามารถช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้เช่นกัน

2.มะเขือพวง เป็นผักที่มีวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น และลดการสะสมของเสีย อีกทั้งยังช่วยดักจับไขมันอิ่มตัวและขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย

3.กระเจี๊ยบ มีสารบางชนิดที่สามารถช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะได้เป็นอย่างดี

4.มะนาว การดื่มน้ำมะนาวผสมกับน้ำอุ่น นอกจากจะช่วยล้างพิษแล้ว ยังทำให้เส้นเลือดสะอาดขึ้นอีกด้วย และถ้านำน้ำมะนาวไปผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ และน้ำผึ้งแล้วล่ะก็ จะยิ่งช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก

5.กล้วย นอกจากจะช่วยบำรุงและสร้างความแข็งแรงให้แก่กระเพาะอาหารแล้ว ยังมีส่วนช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

4

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากสัปดาห์เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ กรมอนามัยพบว่าแม่ส่วนหนึ่งน้ำนมไม่เพียงพอ แนะสร้างเสริมโภชนาการ กินผักช่วยเพิ่มน้ำนม ซึ่งหัวใจสำคัญของคุณแม่หลังคลอด ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หากกินอาหารมื้อหลักได้น้อย ควรเพิ่มมื้อว่างที่มีประโยชน์ เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอ เพิ่มโปรตีน ไอโอดีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม โฟเลท เพราะหญิงให้นมบุตรต้องการพลังงานมากกว่าคนปกติ 500 กิโลแคลอรี แม่กินอาหารครบทุกหมู่ สุขภาพร่างกายแข็งแรงและไม่เครียด น้ำนมก็จะมีเพียงพอสำหรับลูกน้อย

“โดยเฉพาะควรเลือกอาหารเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม ซึ่งมีผัก 5 ชนิดเป็นอาหารประเภทหลัก ได้แก่ 1. หัวปลี มี ธาตุเหล็ก แคลเซียมฟอสฟอรัสมากช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี ได้แก่ แกงเลียง ยำหัวปลี ทอดมันหัวปลี ต้มข่าไก่ใส่หัวปลี หัวปลีชุบแป้งทอด ต้มหัวปลีจิ้มกับน้ำพริก

2.ขิง อุดมด้วยแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี ช่วยขับเหงื่อขับลม ไล่ความเย็น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร ซึ่งแม่หลังคลอดยังมีน้ำคาวปลาอยู่ การกินขิงช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ได้แก่ มันต้มขิง ปลาผัดขิง ยำปลาทูใส่ขิง

3. ใบกระเพรา มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม บำรุงธาตุ เพิ่มน้ำนม ได้แก่ ผัดกระเพราหมู ไก่ ปลา ต้มจืดใบกระเพราหมูสับ

4. ฟักทอง อุดมไปด้วยวิตามินเอ ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน ได้แก่ แกงเลียง ฟักทองนึ่ง ฟักทองผัดไข่ แกงบวดฟักทอง

และ 5. กุ้ยช่าย ทั้งต้นและใบช่วยบำรุงน้ำนม ได้แก่ กินแนมกับผัดไทย กุ้ยช่ายทอด ผัดกุ้ยช่ายตับ นอกจากนี้ ยังมีใบแมงลัก ตำลึง พริกไทย กานพลู มะละกอ พุทรา ช่วยสร้างน้ำนมได้ดี” พญ.อัมพร กล่าว

รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า นมแม่ ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับลูก มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง จอประสาทตา ทำให้เด็กสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นมแม่ในระยะ 1-7 วันแรก จะมียอดน้ำนมที่เรียกว่า หัวน้ำนม หรือโคลอสตรัม ถือเป็นยอดอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วน อีกทั้งเป็นช่วงที่น้ำนมแม่มีภูมิคุ้มกันสูงสุด เด็กควรได้กินหัวน้ำนมเพราะเปรียบเสมือนได้รับวัคซีนหยดแรกของชีวิต เพราะเด็กแรกเกิดจะยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองได้ ทารกที่ได้กินนมแม่จึงมีภูมิต้านทานในการต่อต้านเชื้อโรค และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ เช่น การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืดหูอักเสบเป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่าทารกที่กินนมแม่มีการพัฒนาความสามารถทางสมองดีกว่าทารกที่ไม่กินนมแม่


ที่มา มติชนออนไลน์