ข้อมูลจาก โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ระบุว่า ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ และเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้ดีที่สุด เมื่อเกิดบาดแผลที่ทำให้เนื้อเยื่อเกิดความเสียหายในบริเวณตับ ตับสามารถซ่อมแซมตัวเองโดยการแทนที่เซลล์เก่าเหล่านั้นด้วยเซลล์ใหม่ เพื่อรักษาความผิดปกติต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้เนื้อตับถูกทำลายกว่า 70% ตับก็ยังสามารถงอกใหม่ได้ภายใน 2 สัปดาห์

ดังนั้น ก่อนที่ตับจะเป็นโรคอันตรายใดๆ เราสามารถรักษาสุขภาพของตับให้ดีอยู่เสมอได้ เพียงทำตามเคล็ดลับง่ายๆ 8 ข้อ จาก ผศ.(พิเศษ) นพ.ปิยะพันธ์ พฤกษพานิช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

8 เคล็ดลับ ดูแล “ตับ” ให้สุขภาพดี

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง และโรคตับแข็ง
  • งดการสูบบุหรี่ ทั้งการสูบเอง และควันบุหรี่มือสอง
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการไปรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ และพยาธิใบไม้ตับ เช่น การรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะเนื้อหมู อาหารทะเล ปลาร้า ปลาน้ำจืดที่ไม่สุก การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน การสักหรือใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเก่าเก็บ อาหารแปรรูป หรืออาหารผ่านการปรุงแต่ง เพราะอาจมีสารเคมีหรือสิ่งปนเปื้อนได้ เช่น สารโลหะหนัก สารก่อมะเร็ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรรับประทานในปริมาณน้อย
  • ไม่ควรใช้ยาโดยไม่มีข้อบ่งชี้ หรือซื้อยารับประทานเอง ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
  • ออกกำลังกายในระดับความหนักที่เหมาะสม ระยะเวลาที่นานพออย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนัก ไม่ปล่อยให้มีรูปร่างอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะไขมันพอกตับ
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และบี

ที่มา : Sanook.com

แม้ญี่ปุ่นจะนำเข้ากล้วยมาจากประเทศฟิลิปปินส์เป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยราคาที่ถูก กล้วยจึงเป็นผลไม้ที่คนญี่ปุ่นนำมารับประทานในชีวิตประจำวันมากกว่าผลไม้ใดๆ มารู้ประโยชน์มากมายของกล้วยตามที่คนญี่ปุ่นเขาแนะนำกันนะคะ

1. กล้วยเป็นของว่างที่ดีสำหรับเด็กๆ

ในญี่ปุ่นคุณแม่ส่วนใหญ่นิยมให้ลูกรับประทานกล้วยเป็นอาหารว่าง เนื่องจากกล้วยอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยได้แก่ วิตามินบี 2 ซึ่งช่วยในกระบวนการเจริญเติบโต แมกนีเซียมซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน รวมถึงช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยในกระบวนการเผาผลาญของโปรตีนไปเป็นกล้ามเนื้อและเลือด

2. กล้วยกับความงาม

กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีของผิวพรรณและเส้นผม วิตามินบี 6 ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ลดความหยาบกร้าน และโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันไม่ให้แก่ก่อนวัย

3. ช่วยในการสร้างสมดุลของร่างกายในระหว่างการลดความอ้วน

กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยลดอาการบวมน้ำของร่างกาย เส้นใยอาหารซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและป้องกันอาการท้องผูก และวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกาย

4. ช่วยลดความเครียด

กล้วยอุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริปโทเฟนซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาทชื่อ เซโรโทนิน ซึ่งมีผลในการช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยลดอาการหงุดหงิดและช่วยให้นอนหลับดี นอกจากนี้กล้วยยังมีแมกนีเซียมสูงซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีจิตใจเบิกบาน

5. ช่วยลดอาการเมาค้าง

กล้วยอุดมไปด้วยไนอะซิน (Niacin) ซึ่งช่วยสลายแอลกอฮอล์ที่ตกค้างในร่างกาย ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี และช่วยลดอาการปวดหัว มีโพแทสเซียมซึ่งช่วยขจัดโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย และวิตามินบี 1 ซึ่งมีบทบาทในการบรรเทาความเหนื่อยล้าจากอาการเมาค้าง และช่วยเสริมการหลั่งน้ำย่อยในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น

กล้วย 1 ผลมีพลังงานเพียง 86 กิโลแคลอรี่ แต่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงนิยมรับประทานกล้วย เพราะนอกจากจะมีราคาถูกแล้วก็มีคุณค่าต่อร่างกายมากมาย เราคนไทยโชคดีกว่าคนญี่ปุ่นที่มีกล้วยมากมายหลากหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทานค่ะ

ที่มา : Sanook.com

เว็บไซต์ รัฐบาลไทย เผยแพร่อินโฟกราฟิกให้ความรู้ เกี่ยวกับการปรับและปฏิบัติตน แบบฉบับนิวนอร์มอล ให้ห่างไกลโควิด-19 โดยมีอยู่ด้วยกัน 9 ข้อ ดังนี้

1. พยายามอยู่บ้าน ออกจากบ้านเมื่อยามจำเป็น

2. ใส่หน้ากากผ้า พกเจลแอลกอฮอล์ วางแผนการเดินทางก่อนออกจากบ้าน

3. ล้างมือเป็นประจำทุก 30 นาที – 1 ชั่วโมง

4. ห่างจากคนอื่น 1-1.5 เมตรเสมอ

5. ใช้ขนส่งสาธารณะเฉพาะจำเป็น

6. หากซ้อนมอเตอร์ไซค์ควรหันข้าง สังเกตว่าคนขับต้องใส่หน้ากากและสวมหมวกกันน็อก

7. พกถุงผ้าติดตัว เลี่ยงการหยิบจับภาชนะอื่น

8. แยกภาชนะของใช้ส่วนตัว ไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น

9. เมื่อกลับถึงบ้าน ล้างมือ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

ฝนตกแบบนี้อย่าได้กลัวไปเลยค่ะซิส ต้องเผชิญกับฝนแบบสวยเริ่ดและ Happy ที่สุด เราตามมาดู How to ในการดูแลตัวเองที่จะทำให้คุณอยู่กับหน้าฝนได้อย่างสบายใจไม่ป่วยกันเลยดีกว่า

เตรียมความพร้อมก่อนออกจากบ้าน
ข้อนี้สำคัญมากๆ เลยล่ะค่ะ ถ้ารู้อยู่แล้วว่าเราอาจเจอกับฝนฟ้าคะนองในฤดูนี้ ก็ต้องพกร่มหรือเสื้อกันฝน ตัวช่วยที่จะทำให้เราลดการเสี่ยงที่จะไม่สบายจากสายฝนได้ เรียกได้ว่าเตรียมตัวไว้ก่อน มีชัยไปกว่าครึ่ง นอกเหนือจากเรื่องของอุปกรณ์กันฝนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกหนึ่งอย่างคือการพกยาลดไข้นี่แหละค่ะ เพราะไม่ใช่แค่การโดนละอองฝนเท่านั้นที่จะทำให้เราไม่สบายไม่แฮปปี้ แต่อากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยในฤดูกาลนี้นี่แหละตัวดีเลย อยู่ๆ คุณอาจจะไข้ขึ้นเอาดื้อๆ พกยาไว้เป็นที่พึ่งในยามจำเป็น ช่วยได้เยอะ

วิตามินซีต้านอาการป่วย
กันไว้ดีกว่าแก้ ก็ต้องเลือกดื่มหรือทานตัวช่วยชั้นดีอย่าง “วิตามินซี” กันเลยค่ะ ถ้าชอบทานเป็นเม็ดก็ทานได้บ่อยๆ ตลอดทั้งวัน หรือเลือกทานเป็นเครื่องดื่มที่มีสารสกัดจากวิตามินก็ช่วยให้เฟรชได้เหมือนกัน อาทิ เครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี เป็นต้น แต่ถ้าใครชอบทานผักผลไม้สดๆ ก็ยิ่งดีใหญ่เลย เพราะจะได้คุณประโยชน์จากวิตามินซีโดยตรงแบบไม่ปรุงแต่ง เลือกผลไม้หรือผักที่ให้วิตามินซีในปริมาณสูงอย่าง ส้มหรือฝรั่ง ฯลฯ นอกจากจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายแล้ว ยังไม่ทำให้เพิ่มน้ำหนักอีกด้วย

อาหารแบบไหนที่ควรทานช่วงหน้าฝน
ใช่ว่าอาหารทุกชนิดจะดีต่อร่างกายในภาวะที่ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เพราะฉะนั้น ควรศึกษาว่าอาหารหรือสมุนไพรชนิดไหนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เราขอแนะนำให้เลือกทานอาหารที่มีส่วนผสมของ “ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา หรือกระชาย” เนื่องจากเป็นผักสมุนไพรชนิดเผ็ดร้อน ที่มีผลดีในการไปช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายได้เป็นอย่างดี

รวมไปถึงผักทานง่ายที่เด็กๆ ก็สามารถเลือกทานได้อย่าง “ฟัก” นำมาทำเป็นเมนูต้มจืดร้อนๆ สักถ้วย ก็ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ไม่ว่าจะเจอกับลมฝนมาก็ไม่หวั่น

ทำใจให้เย็นสบายเหมือนสายฝน
จริงๆ แล้วฤดูฝนไม่ได้มาพร้อมกับความเฉอะแฉะ หรือโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย แต่หลายครั้งก็เล่นบั่นทอนจิตใจได้เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะอยู่บนท้องถนนที่ต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัดอย่างรุนแรง หรือผู้ที่ใช้บริการรถสาธารณะที่ต้องยืนรอเป็นเวลานานกว่าปกติ พาลเอาหงุดหงิดท้อใจไปแบบสุดๆ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเกี่ยวกับจิตใจก็คือการหาความบันเทิงเพื่อผ่อนคลายนั่นเองค่ะ ตัวอย่างเช่น ในขณะที่คุณกำลังรถติดอยู่ในท้องถนน ลองเปิดเพลงที่ผ่อนคลายฟังคลอไประหว่างการเดินทาง หรือเม้ามอยกับเพื่อนหรือคนสนิทระหว่างทางเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป เบนความสนใจที่มัวหมองให้ดูผ่อนคลายขึ้น เท่านี้ก็จะได้ไม่ต้องโกรธสายฝนกันอีกต่อไป

ดูแลผิวพรรณและสุขภาพเท้าช่วงหน้าฝน
นอกจากปัญหาสุขภาพเรื่องไข้หวัดที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายในช่วงฤดูฝน ก็อย่าลืมดูแลผิวพรรณ โดยเฉพาะสุขภาพเท้าที่ต้องเผชิญกับน้ำขัง หรือสิ่งสกปรกไหลผ่าน อาจเกิดอาการเท้าอับ เชื้อราที่เท้าหรือเท้าเปื่อยก็เป็นได้ วิธีง่ายๆ ที่เรานำมาฝากหากคุณต้องเผชิญกับน้ำท่วมขังในฤดูฝน ลองทำตามนี้กันดูนะคะ
1. ทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำอุ่น แช่ด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ แช่เท้าพักไว้ประมาณ 10 นาที
2. นำผ้าขนหนูซับเท้าจนแห้งสนิท
3. โรยแป้งบริเวณซอกนิ้วเท้า เพื่อป้องกันเชื้อราและกลิ่นอับ
4. ในขณะที่เท้าแห้งเกินไป ควรทาครีมที่ปราศจากกลิ่นน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการแพ้ และสร้างความชุ่มชื้นให้กับเท้า โดยแนะนำให้ทาครีมตั้งแต่บริเวณนิ้วเท้าไปจนถึงฝ่าเท้าและส้นเท้าตามลำดับ (ทาบางๆ เท่านั้น) จากนั้น พักไว้ให้แห้ง แล้วค่อยทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป โดยการบำรุงเท้านั้นสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวันเลยค่ะ และนอกจากสุขภาพที่ดีแล้ว ผิวพรรณในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็ห้ามละเลยเช่นกัน ควรเลือกทาครีมบำรุงผิวก่อนเข้านอนหลังจากทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้ว
5. บริหารกล้ามเนื้อเท้าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการยกปลายเท้าขึ้นลงรอบละ 10 ครั้ง เป็นจำนวน 3 รอบ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าหลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน

อย่ามองว่า “ฝน” เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต
ข้อนี้สำคัญมากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะหลายคนมักตั้งแง่และให้ความหมายของสายฝนว่าเป็นสิ่งรำคาญจิตใจ เป็นความลำบากในการใช้ชีวิต แต่ถ้าเราคิดกลับกันในอีกมุมหนึ่ง สายฝนมีประโยชน์มากมายกับชีวิตเลยทีเดียวทั้งเรื่องกิน เรื่องอยู่ และสภาพแวดล้อม ล้วนเจริญเติบโตและดีขึ้นเมื่อมีสายฝน หากวันไหนคุณต้องอยู่แต่ในบ้านเพราะฝนตกชุ่มฉ่ำ ลองหาภาชนะมารองน้ำฝนเก็บไว้สำหรับทำประโยชน์ได้หลายอย่าง อาทิ ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าน้ำไปได้เยอะแล้ว เห็นไหมล่ะคะว่าสายฝนก็นำพาสิ่งดีๆ มาให้เราได้ Happy ในการใช้ชีวิตเช่นกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับไอเดียการใช้ชีวิตในหน้าฝนแบบ Happy ไม่มีป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ ลองทำตามไอเดียที่เรานำมาฝากกันดูนะคะ รับรองว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยแน่นอนค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

น้ำถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่เด็กจนถึงโตมักจะได้ยินว่า “ใน 1 วันควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้ว” แต่บางคนอาจดื่มไม่ถึงอาจจะด้วยสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ละเลยการดื่มน้ำไป แต่บอกเลย การลืมดื่มน้ำทำให้พลาดประโยชน์สุดอัศจรรย์ไป พลาดอะไรบ้างมาดูกัน

1. ช่วยลดน้ำหนัก การดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มและทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้น้ำยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญอีกด้วย

2. บำรุงผิว ถ้าหากอยากมีผิวที่สวยล่ะก็ ต้องไม่ลืมดื่มน้ำเด็ดขาด เพราะน้ำจะช่วยขับสารพิษต่างๆ ในร่างกายทำให้ผิวพรรณดูมีสุขภาพดี

3. ระบบขับถ่ายดีขึ้น การดื่มน้ำในปริมาณมากจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกมาได้ง่าย ส่งผลให้อาการท้องผูกลดน้อยลง

4. ให้สมองทำงานดีขึ้น การดื่มน้ำจะช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง ส่งผลให้การทำงานหรือการคิดประมวลผลต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ประหยัดเงิน น้ำจัดว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีราคาถูกที่สุดและสดชื่นได้ ยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำสะอาดเย็นๆ ในขณะที่อากาศร้อนแบบนี้ บอกเลยฟินมากกก

เจ๋งขนาดนี้ หันมาดื่มน้ำกันดีกว่า ประหยัดเงินแถมสุขภาพดีอีกด้วย

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม กล่าวถึงผลประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบค. ว่าที่ประชุมวันนี้นายกรัฐมนตรีและ ทุกคนเห็นพ้องตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสถานการณ์ ว่ามีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เป็นศูนย์ติดกันมาหลายวัน ที่พบติดเชื้อใหม่ก็เฉพาะที่อยู่ในสถานที่กักตัวของทางรัฐบาลเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือว่าสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น จึงเป็นเงื่อนไขมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3

เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอในที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้มาตรการผ่อนปรนสอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงให้ความผ่อนปรนตามที่เสนอมา ทั้งเรื่องสถานประกอบการต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ขยายเวลาให้เปิดถึง 3ทุ่ม ลดเวลาเคอร์ฟิว เป็น 5 ทุ่มถึงตี 3 เพื่อให้มีการขนส่งวัตถุดิบต่างๆ ในการส่งข้ามจังหวัดได้ แต่ยังคงมาตรการจำกัดการเดินทางต่างประเทศเข้าและออกนอกราชอาณาจักร

ส่วนกิจกรรมผ่อนปรนอื่น ที่ประชุม ศบค.เห็นว่าให้ผ่อนปรนได้คือ

-สถานฟิตเนส สามารถเปิดได้โดยไม่เน้นกิจกรรมรวมกลุ่ม

-สปา นวดแผนไทย สามารถเปิดได้แต่ยกเว้นเรื่องการอบไอน้ำ และเรื่องที่เกี่ยวกับใบหน้า

-กีฬา สามารถจัดซ้อมกีฬาได้แล้ว แต่ต้องมีสตาฟไม่เกิน 10 คน ซึ่งในระยะที่ 2 นั้นเราอนุญาตเพียงนักกีฬาทีมชาติ แต่ครั้งนี้อนุญาตให้ซ้อมกีฬาทั่วไปได้แล้ว

-โรงภาพยนตร์ สามารถเปิดได้โดยมีข้อจำกัด ว่าต้องไม่เกิน 200 คนต่อรอบ

-โรงเรียน รมว.ศึกษาธิการได้นำเสนอข้อเสนอจากผู้ประกอบการโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนภาครัฐซึ่งนายกรัฐมนตรีและที่ประชุมเห็นว่า เนื่องจากโรงเรียนมีความแตกต่างกันเรื่องขนาด จึงให้กระทรวงไปประเมินความพร้อมเป็นรายแห่ง และให้กระทรวงศึกษารายงานอีกครั้งในรอบหน้าคือวันที่ 15 มิถุนายน

ส่วนโรงเรียนที่มีความพร้อมในระดับพื้นที่ เช่น โรงเรียน ตชด. โรงเรียนห่างไกลที่พร้อมเปิดในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ ซึ่งมีความจำเป็นและมีความแตกต่างเรื่องความไม่พร้อมในการจะเรียนออนไลน์ ตามที่ได้ทดลองไปแล้วเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ให้สามารถเปิดได้ ส่วนโรงเรียนทั่วไป ให้เป็นไปตามแผนเดิม

ดังนั้น ในการประชุมจึงขอให้ยึดตัวเลขทางสาธารณสุขเป็นหลัก นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาตรการผ่อนคลายที่สอดคล้องกับตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลง ครั้งนี้จึงมีการผ่อนปรนมากขึ้น

ส่วนมาตรการผ่อนปรนที่จะมีในระยะต่อไป เช่น ผับ บาร์ สถานประกอบการร้านที่นั่งดื่ม ก็ยังคงเป็นเฟส 4 รวมถึงสนามมวยก็ยังคงเป็นเฟส 4 ด้วย

ดังนั้น ยังเหลือกิจกรรมกิจการที่ต้องได้รับการประเมินในระยะที่ 4 หรือเฟส 4 นั้นจำนวนน้อยลงแล้วเพราะในระยะที่ 3 มีการผ่อนปรนให้จำนวนมาก

ที่ประชุมเน้นย้ำขอประชาชนให้คงมาตรการชีวิตวิถีใหม่ทั้งหมด ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง วัดอุณหภูมิ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขอให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยทางภาครัฐจะเข้าสุ่มตรวจและประเมินโดยหน่วยงานสาธารณสุขและพื้นที่ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี 90% ในทุกกิจกรรม รวมถึงที่ประเมินผ่านแอพพลิเคชั่นไทยชนะ มีคนเข้ามาใช้เกือบ 40 ล้านคน

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าสถานการณ์นี้ยังไม่สิ้นสุด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ ศบค.ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อระลอก 2 เกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลทำไปทั้งหมดทั้งเรื่องเยียวยา การฟื้นฟู แผนปฏิบัติการต่างๆ การใช้งบประมาณ และตลอด 2 วันที่ผ่านมาที่มีการอภิปรายในสภา ศบค.ก็ได้นำข้อคิดเห็นจากสภามาด้วย ดังนั้น เรื่องใดที่จะเป็นข้อกังวล หรือเรื่องใดที่จะสามารถผ่อนคลายให้ประชาชนมีช่องทางทำมาหากิน และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างใกล้เคียงปกติ ก็รับไว้พิจารณา

ในวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบค. ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพิจารณาเรื่องของโรงเรียนซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากและเป็นหนึ่งกิจกรรมที่มีความเป็นห่วงเรื่องมาตรการทางสาธารณสุข ที่เด็กๆ ลูกหลานเราทุกคนอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึงทั้งหมด จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ขอฝากประชาชนทุกคนให้ยังคงรักษาความเข้มข้นเอาไว้ การ์ดอย่าตก ซึ่งการผ่อนปรนระยะที่ 3 นี้จะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ผ่านMahidol Channel ที่เผยแพร่ผ่านยูทูปถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19รอบที่สองในประเทศไทย ว่าผมยืนยันว่ามีแน่ รอบแรกคนตายจำนวนหนึ่ง แต่รอบสองตายมากกว่ารอบแรกกว่าเท่าตัว ถ้า 1 วันมีคนติดเชื้อ 100 คน มันกระจายไปแล้ว เวลากระจายมันคูณยกกำลังสอง มันไม่ได้คูณสอง มีบางคนเข้าใจว่าผมต้องการออกมาขู่ ถ้าเราดูประวัติผ่านมา ถึงวันนี้ ผมติดตามทุกประเทศทุกวัน ผมถึงมั่นใจว่ารอบ2 มาแน่ กลับเข้ามาไม่ห่วง ห่วงกลับมาแล้วสูงหรือไม่สูง ถ้ากลับมามีเชื้อหน่อยหนึ่ง แล้วกดกลับลงมาได้ ไม่เป็นไร ทุกครั้งที่ติดเชื้อแล้วไม่ตาย ทุกคนจะมีภูมิต้านทานขึ้น ถ้าภูมิต้านทานเยอะจนครอบคลุม 2 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศ โควิด อยู่เมืองไทยไม่ได้

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวต่อว่าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน มีโอกาสเสี่ยงกับการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อ ไปร้านคนเยอะๆ ระยะห่างก็ไม่มีแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ สวมหน้ากากและล้างมือบ่อยๆ อีกอย่างที่กังวล คือ การผ่อนคลาย คนเก็บกดมาเยอะ ระยะหลังเริ่มเห็นแล้ว ไม่ใส่หน้ากากกันบ้าง นัดสังสรรค์ เปิดผับที่บ้านกันเลย ถ้ามีแม้แต่ 1 ราย ที่เกิดมีไวรัส ก็แพร่ได้ เราเห็นประเทศต่างๆ ที่เกิดรอบสองกันมาแล้ว

เมื่อถามว่าเมื่อไหร่ประเทศไทยจะกลับมาเหมือนเดิม ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่าทำใจไว้เลย มีการคำนวณคร่าวๆ 18-24 เดือน เผื่อไปเลย ปีครึ่งถึง 2 ปี เราจะเจอคนที่มีโควิด เหมือนไข้หวัดใหญ่ เป็นครั้งคราว มันจะอยู่กับเราอีกระยะหนึ่ง มันจะหายไปเมื่อวัคซีนออก เราจะทำให้คลื่นลูกที่สองรุนแรงหรือไม่ ขึ้นกับคน 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1.ผู้บริหารประเทศ ต้องค่อยๆผ่อนทุก 14 วัน อย่าปกปิดความจริง 2.ผู้ประกอบการ มีโอกาสให้ธุรกิจกลับมาแล้ว ต้องช่วยกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจาย และ3.คนไทย ต้องระวังตัวเอง

อยากดูแลสุขภาพ ไม่ต้องรอถึงตอนมีอายุมากๆ แค่รู้จักเลือกกินอาหารตามวัยของคุณ เพราะในแต่ละช่วงวัยก็มีอาหารที่ควรกินแตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมกับการนำออกมาใช้งาน ตามมาดูกันว่า ในวัยแบบคุณนั้น จะต้องกินอาหารแบบไหนแล้วถึงจะดีที่สุด

เด็กน้อยวัยทารกกับ “นม
ในวัยทารกแรกเกิดที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน ยังไม่สามารถกินอาหารเสริมชนิดต่างๆ ได้ยกเว้นนมแม่หรือนมผงเท่านั้น ทั้งนี้น้ำนมของคุณแม่ จะให้สารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อยมากที่สุด เมื่อเด็กมีอายุเกิน 6 เดือนไปแล้ว เด็กน้อยจะมีความต้องการสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้น การให้นมแม่ในวัยดังกล่าวจึงอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต โดยต้องมีการเพิ่มสารอาหารชนิดอื่นๆ เข้าไป ในช่วงวัยนี้ต้องให้ลูกน้อยหย่านม และฝึกพัฒนาการในการรับสารอาหารอื่นๆ เช่น อาหารบดละเอียด เช่น กล้วย ฯลฯ โดยข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังฝึกให้เด็กน้อยเริ่มกินอาหารอื่นๆ นั้น ต้อง “ห้ามเติมเกลือ” ลงไปในอาหารบดละเอียด เนื่องจากไตของเด็กในวัยนี้ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

โปรตีนและแคลเซียม” อาหารที่เสริมสร้างพัฒนาการของวัยเด็ก
เด็กที่ผ่านพ้นวัยทารก อาจจะยังไม่สามารถกินอาหารได้หลากหลายชนิดมากนัก ควรเน้นการกินอาหารบดที่ย่อยง่าย เพิ่มมื้อของว่างที่ให้สารอาหาร และพลังสูงสำหรับเด็กวัยหัดเดิน เช่น ผักหรือผลไม้ชนิดต่างๆ แครอทสีสวย หรือแตงกวาชิ้นเล็ก เพื่อให้เด็กคุ้นชินกับการกินอาหารจำพวกผัก

หรือแม้แต่แอปเปิ้ลบดละเอียด ที่หอมหวานกินอร่อย เด็กๆ จะกินได้ง่ายมากขึ้น สำหรับเด็กที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป สามารถทานอาหารและเนื้อสัตว์ได้หลากหลายชนิด เน้นการกินโปรตีนและนม เพื่อสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ ตัวอย่างเช่น เนื้อปลานึ่งหรือทอด ทานคู่กับข้าว และนมวัวชนิดไขมันเต็ม เพื่อให้พลังงานที่เพียงพอต่อร่างกาย เป็นต้น

วัยรุ่นพลังงานเหลือเฟือ เพราะกิน “วิตามินและคาร์โบไฮเดรต
พัฒนาการของช่วงวัยเด็กสู่วัยรุ่นเป็นไปอย่างรวดเร็ว วัยรุ่นเป็นวัยที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ทำให้ต้องเน้นกินอาหารที่ให้พลังงานสูง จึงมุ่งเน้นไปที่อาหารประเภทแป้งเป็นหลัก รวมไปถึงโปรตีนและวิตามินชนิดต่างๆ ถึงจะเป็นวัยที่ใช้พลังงานในแต่ละวันค่อนข้างเยอะ แต่หากเลือกกินแบบผิดๆ เช่น อาหารสำเร็จรูป อาหารทอด หรือขนมจากส่วนผสมแป้งจนมากเกินไป ก็ทำให้ร่างกายสะสมน้ำตาลและไขมัน เกิดโรคอ้วนขึ้นได้ง่ายๆ เลยทีเดียว วิธีการที่ดีที่สุด ไม่ใช่การอดอาหารเพราะยังเป็นวัยที่เร่งการเจริญเติบโต แต่ควรเน้นการออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง

อาหารกากใยสูง” กินดีในวัยผู้ใหญ่
สำหรับวัยผู้ใหญ่เป็นวัยที่ควรเลือกกินอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเน้นอาหารประเภทแป้งที่มีเส้นใยสูง รวมไปถึงผักผลไม้กากใยสูง เพื่อช่วยในการย่อย และยังมีประโยชน์ในเรื่องของการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ทั้งนี้อาหารประเภทโปรตีน ไม่ควรเลือกกินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง หรือย่อยยากจนเกินไป เน้นการทานอาหารจำพวก ถั่ว ปลา หรืออาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล และไขมันในปริมาณที่น้อย ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะบริหารร่างกาย เพราะในวัยนี้เริ่มมีการเผาผลาญที่ยากขึ้น ไม่เหมือนกับวัยรุ่นที่ใช้พลังงานเยอะ และเผาผลาญออกได้ง่าย ในวัยผู้ใหญ่จึงควรเน้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การวิ่งหรือเดิน โยคะ ต่อยมวย ฯลฯ

วัยผู้สูงอายุ ต้องเน้นอาหารที่ช่วย “ซ่อมแซมส่วนต่าง ในร่างกาย
เพราะวัยผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพื่อไปซ่อมแซมในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แคลเซียมสำหรับบำรุงกระดูก ต้องเลือกกินผลิตภัณฑ์นม ฯลฯ นอกจากแคลเซียมแล้ว อาหารประเภทที่ให้กากใยอาหารสูงอย่างผักและผลไม้ จะช่วยป้องกันโรคท้องผูกในผู้สูงอายุได้ดีเช่นกัน นอกจากนี้ อาหารประเภทที่ช่วยบำรุงโลหิต ก็มีความจำเป็นสำหรับคนวัยนี้ ที่มักเกิดโรคโลหิตจาง ดังนั้นการเลือกกินอาหารที่เสริมธาตุเหล็กอย่าง น้ำมันปลา ธัญพืชชนิดต่างๆ ก็จะช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้เช่นกัน

สำหรับครอบครัวไหนที่มีสมาชิกรวมอยู่ทุกวัย ก็ไม่ต้องกังวลในการเลือกอาหารที่เหมาะสำหรับทุกคนมากเกินไปนะคะ สำคัญที่สุดก็คือการเน้นทานอาหารที่มีประโยชน์ และเน้นการทานในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับแต่ละวัยจะดีที่สุด พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ เท่านี้ทุกคนในบ้านก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วล่ะค่ะ

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย และเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ รวมทั้งทำให้พิการ และทุพพลภาพ

ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลสุขุมวิท ให้คำแนะนำถึงโรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นอาการของแขน หรือใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งชา อ่อนแรง เคลื่อนไหวลำบาก หรือเคลื่อนไหวไม่ได้ อย่างทันทีทันใด เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงสมองตีบ ตัน หรือแตก ทำให้เนื้อสมองขาดอาหารและออกซิเจน เกิดภาวะเนื้อสมองเสียหาย

โรคหลอดเลือดสมองมีสาเหตุสำคัญมาจาก 3 ประการ คือ

1.หลอดเลือดแดงในสมองเสื่อม หรือหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) เกิดจากการสะสมของไขมัน ที่ผนังชั้นในหลอดเลือดแดงเสื่อมจากการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมันสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

2.หลอดเลือดแดงสมองอุดตันจากลิ่มเลือด หรือชิ้นส่วนของไขมันที่หลุดลอยมา ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคของลิ้นหัวใจ หรือภาวะหัวใจโต

3.หลอดเลือดแดงสมองแตก จากภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือควบคุมได้ไม่ดี หรือเส้นเลือดโป่งพอง เป็นต้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ประกอบด้วย

1.ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เนื่องจากไปทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ หลอดเลือดจึงแตกได้ง่าย

2.การสูบบุหรี่ จะลดปริมาณออกซิเจน และเพิ่มความหนืดของหลอดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะสมอง ทำให้เกิดอัมพาตได้ 3.มีน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น และตีบแคบทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอเกิดอัมพาตได้

4.ไขมันในเลือดสูง ทั้งคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ทำให้เกิดเป็นก้อนไขมันเกาะติดกับผนังหลอดเลือด ทำให้หนาตัวขึ้นและหลอดเลือดตีบแคบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดเป็นอัมพาตได้

5.การบริโภคที่ไม่ถูกต้อง โรคอ้วน การรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป การกินอาหารที่มีเกลือ และ ไขมันสูง การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเป็นประจำ จะทำให้เกิดปัญหาความดันโลหิตสูง ไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น

6.ประวัติเป็นโรคหัวใจ จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากขึ้น ต้องควบคุมให้อยู่ในภาวะปกติ

7.กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีพ่อ แม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงและมีประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด เตือนว่า หากมีอาการแสดงที่สำคัญของโรคหลอดเลือดสมอง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล คือ 1.ชาหรืออ่อนแรง บริเวณแขนขา หรือใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง 2.ตามัวหรือเห็นภาพซ้อนทันทีทันใด 3.ปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ 4.มึนงง เวียนศีรษะ เดินเซ วิธีการรักษาทำอย่างไร

สำหรับวิธีการรักษาโรคเส้นเลือดสมองแตก ขั้นแรกจะใช้วิธีประคับประคอง หรือผ่าตัด จากนั้นหาสาเหตุของเส้นเลือดในสมองแตก

ส่วนวิธีการรักษาโรคเส้นเลือดสมองตีบ และตัน ในการรักษาในระยะเฉียบพลัน (ภายใน 270 นาที) เริ่มจากประเมินคัดแยกอาการโรคหลอดเลือดสมองอย่างทันที, ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ประเมินอาการทางระบบประสาท, ตรวจวินิจฉัยอย่างเร่งด่วนตามมาตรฐานที่กำหนดโดยการเจาะเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT Scan) เพื่อแยกอาการว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองชนิดใด, อธิบายให้ผู้ป่วย หรือญาติทราบรายละเอียดของโรค และแผนการรักษา

ให้การรักษาด้วยการใช้ยาละลายลิ่มเลือด (rTPA) การให้ยาภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง (270 นาที) หลังเกิดอาการจะทำให้อาการผิดปกติทางประสาทดีขึ้นประมาณ 30% ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีมากในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองบางกลุ่ม, Mechanical Thrombectomy การนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดสมองออกผ่านทางสายสวน เพื่อเปิดหลอดเลือดให้เลือดสามารถไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นๆ ได้

ศูนย์หัวใจและหลอดเลือดระบุด้วยว่า การรักษาในระยะยาว จะใช้วิธีควบคุมภาวะความเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง เป็นต้น, รับประทานยา และพบแพทย์สม่ำเสมอ, ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก หมั่นทำกายภาพบำบัด, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา และกายภาพบำบัด หากผู้ป่วยยังคงมีอาการทุพพลภาพ

ที่มา : ข่าวสดออนไลน์

ต้นคาโนล่า

ในช่วงที่เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรงแบบนี้ นอกจากการออกกำลังกายแล้ว ดูเหมือนว่าอาหารนั้นจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้สุขภาพดีเป็นอย่างมาก หลายๆ คนจึงหันมาใส่ใจในการเลือกทานอาหารมากเป็นพิเศษ ถึงขั้นเลือกที่จะปรุงอาหารเองโดยเริ่มจากเมนูง่ายๆ แทนการเลือกซื้อหรือหาทานจากร้านอาหาร เพราะในการปรุงอาหารเองนั้น เราสามารถเลือกวัตถุดิบต่างๆ เองได้โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด วันนี้เรามีวัตถุดิบซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการปรุงอาหารอย่าง น้ำมันคาโนล่า อีกทางเลือกของคนรักสุขภาพมาแนะนำ รับรองว่าถูกใจเหล่าคนรักสุขภาพอย่างแน่นอน

น้ำมันคาโนล่า (Canola Oil) เกิดจากการนำเมล็ดของต้นคาโนล่ามาผลิตเป็นน้ำมัน ซึ่งถือเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำที่สุดในบรรดาน้ำมันทั้งหลาย ในน้ำมันคาโนล่านั้นมีส่วนผสมของกรดโอลิอิก (Oleic acid) ซึ่งมีส่วนช่วยลดไขมันในเลือดชนิด LDL ที่เป็นคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีให้ลดลง และยังมีส่วนประกอบของ Omega-3 และ Omega-6 ซึ่ง Omega-3 มีส่วนช่วยลดไขมันไตรกรีเซอไรด์ และลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ที่เป็นต้นเหตุให้เส้นเลือดหัวใจอุดตัน จึงมีส่วนสำคัญ ในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งต่างๆ ได้

ถือเป็นอีกทางเลือกใหม่ที่นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังไขมันต่ำ ถูกใจคนรักสุขภาพแบบสุดๆ เลย

ที่มา : บล็อกเล่าเก้าสิบ