หลังจากที่ได้เปิดตัวไปอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 กับงาน Vivo V15 Series Launch Event พร้อมเปิดราคา Vivo V15Pro ราคา 14,999 บาท ล่าสุด Vivo เปิดให้จอง Vivo V15Pro ก่อนใครตั้งแต่วันที่ 1-8 มีนาคม 2562 โดยมีให้เลือกถึง 2 สีด้วยกัน ได้แก่ Topaz Blue (สีน้ำเงิน) และ Coral Red (สีแดง) ท่านใดที่สนใจสามารถ Pre-Order เพื่อเป็นเจ้าของก่อนใคร โดยสามารถดูรายละเอียดเงื่อนไขการสั่งจองได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้

รายละเอียดเงื่อนไขการสั่งจอง

ลูกค้าสามารถทำการสั่งจองผ่านร้าน Vivo Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายโดยมีรายละเอียดดังนี้:

· ลูกค้าที่ทำการจอง Vivo V15Pro ที่ Vivo Brand Shop ทุกสาขาและร้านตัวแทนจำหน่าย รับสิทธิ์ได้เครื่องก่อนใครพร้อมทั้งได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย :

1. ลูกค้าจะได้รับ Vivo VIP Card (เพิ่มรับประกันเครื่อง 24 เดือน, รับประกันเปลี่ยนหน้าจอไม่จำกัดจำนวน 1 ปี)

2. ลูกค้าจะได้รับ Vivo V15 Series Executive Gift Set มูลค่า 1,099 บาท

3. ลูกค้าจะได้รับ Songkran Gift Set มูลค่า 1,199 บาท

4. ลูกค้าจ่ายค่ามัดจำในการจองเพียง 500 บาท พร้อมทั้งกรอกรายละเอียดการจองและตรวจสอบการจองให้ครบถ้วน หากเกิดข้อผิดพลาดจากตัวผู้จองเอง ทางบริษัท วีโว่ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด จะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ในทุกรณี

5. ต้องนำใบการจอง พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมารับสินค้า พร้อมทั้งชำระค่าส่วนต่างในวันรับเครื่อง

· ลูกค้าสามารถรับเครื่อง Vivo V15Pro ในสาขาที่ทำการจองเท่านั้น มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ในการรับของแถม พร้อมทั้งสงวนสิทธิ์ในการคืนค่ามัดจำในทุกกรณี

· ระยะเวลาเปิดรับการจองเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-8 กุมภาพันธ์ 2562 เท่านั้น Vivo Brand Shop ทุกสาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

· บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

· หากมีข้อสงสัยในการสั่งจองสามารถติดต่อได้ที่: บริษัท วีโว่ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 729/117-121 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 โทร. 02-284-0333 Fax. 02-2943988 Call Center. 02-294-3111-2 หรือที่ www.vivo.co.th

· สำหรับผู้ที่ทำการจอง Vivo V15Pro สามารถรับเครื่องพร้อมของแถมในวันที่ 9 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป

ไม่รู้ว่าโรงเรียนในประเทศไทยมีกฎการห้ามใช้สมาร์ทโฟนในห้องเรียนแบบเข้มงวดแค่ไหน แต่ที่ฝรั่งเศสนั้นเรียกได้ว่าเข้มงวดสุดๆ โดยออกกฎห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนโดยเด็ดขาด ซึ่งรวมไปถึงเวลาพัก และบริเวณสนามของโรงเรียนในช่วงก่อนและหลังเลิกเรียนด้วย

โดยรัฐบาลระบุว่า การห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนนี้จะช่วยให้นักเรียนมีสมาธิมากขึ้น ป้องกันการเกิดไซเบอร์บูลลี่ หรือการรังแกกันผ่านพื้นที่ไซเบอร์ และยังจำกัดการเข้าถึงสื่อลามกของเด็กอีกด้วย

มาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน ครอบคลุมไปจนถึงเด็กอายุ 15 ปี

อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์หลายคนระบุว่า มาตรการดังกล่าวนั้นยากต่อการบังคับใช้ และโรงเรียนก็ต้องหาวิธีการในการใช้มาตรการนี้

ทั้งนี้ นายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ใช้มาตรการจำกัดเวลาการใช้สมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงด้วย ซึ่งกฎก่อนหน้านี้ที่มีการประกาศใช้คือห้ามนักเรียนใช้สมาร์ทโฟนในชั่วโมงเรียนเท่านั้น แต่นักการเมืองในได้ผลักดันขยายให้กว้างกว่าแค่ในห้องเรียน แต่ยังต้องรอการเห็นชอบของวุฒิสภา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคเทคโนโลยีแบบนี้ “สมาร์ทโฟน” นั้นกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของมครหลายคนไปแล้ว เพราะเป็นเหมือนสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ที่ต้องใช้ตั้งแต่ตื่นนอนจนหัวถึงหมอน สาเหตุคงเป็นเพราะความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร, การได้เชื่อมต่อกับสังคมผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือแม้แต่การเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนเพื่อผ่อนคลายความเครียด

แน่นอนว่าเมื่อสมาร์ทโฟนมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียเช่นกัน มาดูข้อเสีย 12 อย่างของสมาร์ทโฟนที่ทำให้ชีวิตของคุณแย่ลง

1.สมาร์ทโฟนมีผลต่อการนอนหลับ

งานวิจัยพบว่าการใช้สมาร์ทโฟนก่อนนอนอาจทำให้หลับยากขึ้น เนื่องจากแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ดิจิทัลจะส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้หลับยากขึ้น และไม่เพียงแต่แสงสีฟ้าเท่านั้น แต่เรื่องราวบนโซเชียลมีเดียบางอย่างก็มีผลรบกวนจิตใจเราด้วย

2. ลดความโรแมนติกของคุณและคนรัก

สมาร์ทโฟนอาจทำลายความสัมพันธ์ที่โรแมนติกของผู้คน ลองนึกดูว่าคุณกำลังออกเดทอยู่ แต่คู่ของคุณกลับมองจอมือถือมากกว่าคุณเสียอีก

โดยการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่กับสมาร์ทโฟนตลอดเวลา อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มีตัวตนหรือไม่ได้รับการสนใจ ทำให้อาจไปเลือกคนอื่นที่ให้ความสำคัญกับตนมากกว่า

มากไปกว่านั้น บางคู่รักใช้เวลากับโทรศัพท์ของตนเอง จนบางครั้งก็ลืมความสำคัญของของคนใกล้ชิด ไม่มีเวลาในการใกล้ชิดกัน แต่การสื่อสารของมนุษย์นั้นจำเป็นต้องรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อเสริมสร้างความอบอุ่นให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสมาร์ทโฟนอาจทำให้สิ่งเหล่านี้หายไป

3.ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพ

ในทำนองเดียวกันกับความสัมพันธ์กับคู่รัก สมาร์ทโฟนก็อาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมิตรภาพได้ หลายคนอาจเคยเจอสถานการณ์ที่ว่าเพื่อนๆ ในกลุ่มนัดเจอกัน แต่พอมาเจอกันแล้วต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือเสียอย่างนั้น

หรือบางกรณีก็คือ การที่มีอะไรแจ้งเตือนเข้ามา ฮอร์โมนและสัญชาตญาณบางอย่างบอกเราว่าต้องกดดู แต่เมื่อกดดูก็อาจทำให้เพื่อนไม่พอใจได้ เพราะหลายคนก็เป็น คือมักเข้าใจว่าการกดดูแจ้งเตือนนั้นเป็นการที่ไม่ให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายหรือคนรอบตัว นำไปสู่ความไม่เข้าใจกันได้

4.มีอิทธิพลเชิงลบเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรหลาน

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อพ่อแม่ใช้สมาร์ทโฟนขณะที่อยู่กับลูกๆ เด็กอาจรู้สึกว่าถูกมองข้ามและรู้สึกว่าไม่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ประเด็นปัญหาทางอารมณ์เชิงลบในเด็ก

5.สื่อสารผ่านสมาร์ทโฟนทำให้เกิดความขัดแย้ง

การสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะการพูดคุยผ่านข้อความนั้นย่อมแตกต่างจากการพูดคุยกันแบบซึ่งๆ หน้าแน่นอน เพราะไม่ได้เห็นน้ำเสียง สีหน้า หรือแววตา ดังนั้นจึงเป็นการสื่อสารที่อาจทำให้ตีความหมายผิด และก่อให้เกิดความขัดแย้งในหลายๆ ด้าน เช่น การคุยงานในการทำธุรกิจ การสื่อสารที่ผิดพลาดจะส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ ดังนั้น ควรพูดคุยกันแบบเห็นหน้ามากกว่าผ่านสมาร์ทโฟน

6.คนมักคาดหวังให้เชื่อมต่อออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง

ในยุคของสมาร์ทโฟน ผู้คนมักคาดหวังให้คุณเชื่อมต่อบนสังคมออนไลน์ตลอดเวลา ชนิดที่ว่าตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันเลยทีเดียว ในและต้องการให้ส่งข้อความกลับไปหาพวกเขาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอีเมล์และโซเชียลมีเดียอื่น ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเมื่อฝ่ายหนึ่งไม่ว่างในการติดต่อสื่อสาร

7.ขาดความมั่นใจในตัวเอง

สิ่งที่บางคนเป็นคือจะคอยดูอยู่ตลอดว่าอัพรูปไปยอดไลค์เท่าไหร่แล้ว ถ้าไลค์น้อยก็รู้สึกไม่ดี ดังนั้น เรียกได้ว่าสื่อสังคมออนไลน์มีผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเอง บางคนมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จนทำให้เกิดความไม่พอใจในตัวเอง และสูญเสียความมั่นใจไปในที่สุด

8.กระตุ้นให้เกิดโรค “กลัวตกกระแส”

สมาร์ทโฟนกระตุ้นให้เกิด Fear Of Missing Out (FOMO) คือ “การกลัวตกกระแส” หากผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่ได้อัพเดตเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมผ่านสมาร์ทโฟน จะกลัวการตกข่าวหรือกลัวรู้ข่าวช้ากว่าคนอื่น เป็นผลให้ต้องคอยเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ตลอดเวลา โดยมีผลวิจัยจากบทความเรื่อง “FOMO ภัยร้ายโรคกลัวการตกกระแส” จากเว็บ Infographic กล่าวว่า กว่า 80% ของชาวเอเชียเป็น “โรคกลัวการตกกระแส”

9.อ่านหนังสือบนสมาร์ทโฟนยากต่อการเรียนรู้และเข้าใจ

ด้วยความสะดวกของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่สามารถพกติดกระเป๋าไปได้ทุกที่ จึงสามารถเลือกอ่านคอนเทนต์จากสมาร์ทโฟนได้ง่ายกว่าการถือหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือหนังสือ อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยศึกษาพบว่า นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีจากสิ่งพิมพ์มากกว่าการเรียนรู้ผ่านระบบหน้าจอ นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ยังช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากข่าวที่เห็นในโซเชียลมีเดียอีกด้วย

10.ผู้คนลืมวิธีการออกเดทหรือสร้างมิตรภาพใหม่ๆ

เราพยายามทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าในสังคมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ เช่น Tinder จนบางครั้งก็อาจลืมวิธีการต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตจริงไป เช่น การจีบหญิง การออกเดท หรือแม้แต่การสร้างมิตรภาพใหม่ๆ

11.งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าสมาร์ทโฟนไม่ดีต่อสมอง

มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า สมาร์ทโฟนไม่ดีสำหรับสมอง เพราะสามารถกระตุ้นให้เกิดความเกียจคร้านทางจิตใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อไปรับประทานอาหารในร้านอาหารกับเพื่อนๆ และต้องเฉลี่ยราคาที่ต้องจ่ายต่อคน คุณอาจใช้เครื่องคิดเลขในโทรศัพท์แทนการคิดคำนวณจากสมอง ซึ่งงานวิจัยค้นพบว่า การใช้สมาร์ทโฟนอาจทำให้กระบวนการคิดของคุณช้าลง

12.ทำลายสุขภาพจิต

การใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้นอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ตามที่นักวิจัยได้มีการศึกษาเกี่ยวกับนักศึกษาที่ใช้เฟซบุ๊กว่า ยิ่งใช้เฟซบุ๊กมากขึ้นเท่าไร ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็ลดลงอีกด้วย

คำแนะนำคือควรเดินทางสายกลาง ทุกอย่างล้วนมีข้อดีและข้อเสีย ใช้อย่างพอดี และอย่าลืมใส่ใจคนรอบข้าง