เรื่อง : ณัฐกานต์ สอนโยหา

ปัจจุบันเทคโนโลยีเรื่องของพลังงานได้เข้ามามีบทบาทต่อผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากพลังงานน้ำมันที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันเริ่มแผ่ขยาย ทำให้ส่งผลเสียไปถึงสุขภาพและการเป็นอยู่ของคนในประเทศ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ ที่เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เห็นได้จากปริมาณรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

จากสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ทำให้หลายองค์กรเริ่มตื่นตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ และผู้ประกอบการในหลายภาคส่วน ที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงาน และผลักดันให้เกิดเทคโนโลยียานยนต์ (EV – Electronic Vehicle) ให้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพื่อให้ทั้งผู้ให้บริการและผู้บริโภคได้รับประโยชน์ร่วมกัน พร้อมทั้งลดมลพิษทางอากาศในระยะยาว

การนำนวัตกรรมยานยนต์ (EV) เข้ามาใช้นั้น จะก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียอย่างไร ลองไปดูแนวคิดที่ได้จากวงสนทนาเรื่อง “การเสวนานวัตกรรมยานยนต์ (EV) เพื่อลดมลภาวะ” ในงานแถลงข่าวผลสำรวจทัศนะสถานภาพผู้ประกอบการจักรยานยนต์รับจ้าง และการเสวนานวัตกรรมยานยนต์ (EV) เพื่อลดมลภาวะ ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยาบาลเศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวถึง ข้อมูลและสถานภาพของผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ว่า จากการสำรวจในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และในเขตปริมณฑลพบว่า มีผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้างที่จดทะเบียนตามกฎหมายมากที่สุด ซึ่งดูจากสถิติแล้วมีมากถึง 1 แสนคัน เฉลี่ยแล้วจะมีผู้ที่ใช้บริการจักรยานยนต์รับจ้างมากถึง 1-5 ล้านคนต่อวัน

“ปัญหาที่พบส่วนใหญเป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ขัดแย้งกันทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้บริการจะให้ความเห็นว่าราคาแพงเกินไป แต่ผู้ให้บริการจะมีความเห็นว่าตนนั้นได้ค่าจ้างน้อยเกินไป ซึ่งปัญหาด้านการเงินที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ ทำให้เข้าถึงปัจจัย 4 ได้ยาก และส่งผลโดยตรงไปถึงบุคคลในครอบครัว เพราะถ้าหากค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ ก็อาจจะส่งผลให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือไม่เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลระยะยาวไปถึงอนาคต ทำให้บุคคลเหล่านี้แก้ปัญหาด้วยการกู้เงินนอกระบบ ที่มีดอกเบี้ยสูง ทำให้ผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้างต้องการเข้าถึงสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อไปปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิต และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน” ผศ.ดร.ธนวรรธน์กล่าว

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ ยังได้กล่าวถึงวิธีการแก้ปัญหาเกี่ยวกับรายได้ของผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้าง และข้อดีของการนำนวัตกรรมยานยนต์ (EV) หรือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ว่า “วินมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการขับเคลื่อนประเทศ เนื่องจากเป็นยานพาหนะที่ไปมาสะดวก แต่ก็เป็นอาชีพที่ใช้น้ำมันเยอะ มีส่วนที่ทำให้เกิดฝุ่นจิ๋วขึ้น ถ้าเราส่งเสริมตามมาตรฐานยุโรปที่ใช้ไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมัน อย่างเช่นการใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นไฟฟ้า น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะทำให้ประหยัดต้นทุนและทำให้ลดค่าใช้จ่ายค่าพลังงาน เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับวินมอเตอร์ไซค์ และยังส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับบทบาทตามมาตรฐานโลก ส่งสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย และทำให้ต้นทุนของการดำเนินธุรกิจของวินมอเตอร์ไซค์มีกำไรมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น” ผศ.ดร.ธนวรรธน์กล่าว

ชี้ “ยานยนต์ไฟฟ้า” ประสิทธิภาพสูง-ลดการเกิดมลพิษ

ดร.อดิทัต วะสีนนท์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวถึงความสำคัญของนวัตกรรม EV ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมว่า เทรนด์ของยานยนต์ในอนาคต หรือที่เรียกว่า ACES มีโอกาสที่จะขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้ เห็นได้จากการที่เราสามารถเปิดแผนที่ผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้สามารถเชื่อมโยงได้ทุกที่ที่จะไป เหตุผลที่บ่งชี้ว่า EV เป็นสิ่งสำคัญมี 2 ประเด็นหลักๆ คือ 1.มีประสิทธิภาพสูงสุด 2.ลดการเกิดมลพิษ และในอนาคตคาดว่ารถยนต์อาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ถ้าหากว่ารถไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่ให้บริการอย่างทั่วถึง ส่วนเรื่องการชาร์จก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากมีสถานีชาร์จพลังงาน โดยข้อมูลล่าสุดมีถึง 250 สถานี จึงคาดว่ารถจักรยานยนต์น่าจะมีศักยภาพที่ดีเพียงพอที่จะเปลี่ยนเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากต้นทุนพลังงานไฟฟ้าถูกกว่าพลังงานน้ำมันมากกว่าถึง 10 เท่า ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก

สถาบันยานยนต์พร้อมปรับตัว เตรียมพร้อมทดสอบแบตเตอรี่

นายธนวัฒน์ คุ้มสิน รองผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์ กล่าวถึงแนวทางสนับสนุนเกี่ยวกับนวัตกรรม EV ว่า อุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมชั้นนำ บทบาทของสถาบันยานยนต์ก็คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในเมืองไทย ดังนั้นทางสถาบันยานยนต์จึงต้องเตรียมพร้อมและปรับตัวให้เท่าทันตลาดโลก ซึ่งนอกจากการผลิตแล้ว ทางองค์กรยังได้พัฒนาและเตรียมพร้อมเรื่องการทดสอบแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า และใช้เกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ส่งออกระดับต้นๆ ของโลก

ดัน “ตุ๊กตุ๊ก” สู่ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อคนไทย

ผศ.ดร.ชนะ เยี่ยงกมลสิงห์ อุปนายกสมาคม ฝ่ายวิชาการ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวถึงที่มาของสมาคมยานยนต์ว่า สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าเลือกส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ เริ่มต้นโดยการมองเห็นว่ายานยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมและความประหยัด จึงต้องการเผยแพร่และต้องการให้ทุกคนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าแทนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงกันมากขึ้น ส่วนโครงการแรกที่สมาคมทำคือการจัดตั้งสถานีหัวจ่ายไฟฟ้า กระจายออกไปกว่า 220 หัวจ่ายทั่วประเทศ ต่อไปคือการรวบรวมผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดวัตถุประสงค์เดียวกัน เพื่อต่อยอดให้ผู้ที่ใช้รถไฟฟ้าสามารถใช้สมาร์ทการ์ด กิจกรรมต่อมาคือการสร้างต้นแบบรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย และยังใช้กันอยู่ในประเทศ จึงอยากที่จะเข้ามาผลักดันและสร้างมาตรฐานให้รถตุ๊กตุ๊กของคนไทย และอยากที่จะผลักดันให้มีการจดทะเบียนป้ายขาวนิติส่วนบุคคล และจะเป็นรถคันเดียวที่เป็น Made in Thailand 100 เปอเซ็นต์ นอกจากนี้ สมาคมยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการผลักดันเกี่ยวกับรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า และรถยนต์ไฟฟ้าด้วย

ด้านนายมงคล สีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับเรื่องบทสรุปของผู้ประกอบการรถรับจ้างและนวัตกรรม EV ว่า รถจักรยานยนต์รับจ้าง มีผลต่อชีวิตคนเมืองสูงมาก ที่เห็นได้ชัดเลยคือที่ประเทศจีนมีการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และคาดว่ามีมากถึงร้อยล้านคัน และได้มีการพัฒนาความสามารถขึ้นไปเรื่อยๆ

“ผมคิดว่าประเทศไทยมาถึงจุดจุดหนึ่งที่ต้องหันกลับมาทบทวนการนำนวัตกรรมไฟฟ้าเข้ามาใช้ เพราะสามารถลดทอนปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ โดยจุดเด่นของนวัตดรรมไฟฟ้า คือความเสถียรของระบบไฟฟ้าที่เทียบเท่าระดับโลก และค่าไฟฟ้าที่ถูกมาก ถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้หันมาใช้ยานยนต์ EV ก็จะช่วยเรื่องการลดต้นทุน และลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทางภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงคนที่อยู่ในชุมชนเมือง จะต้องร่วมมือในการเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมและสิ่งต่างๆ จะดีขึ้น” นายมงคลกล่าวทิ้งท้าย

ถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่ผู้ประกอบการช่วยกันผลักดันให้นวัตกรรมยานยนต์เข้ามามีบทบาทในสังคม รวมถึงความการต้องการที่จะเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์รับจ้าง และความต้องการในการนำนวัตกรรม EV เข้ามาใช้เพื่อลดมลพิษในอนาคต

เรื่อง : กมลชนก ครุฑเมือง

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจสถานภาพผู้ประกอบรถจักรยานยนต์รับจ้าง เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปสู่แนวทางการช่วยเหลือพัฒนา ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพขับขี่รถจักรยานยนต์สามารถผ่อนได้โดยที่ไม่มีปัญหาทางการเงิน พร้อมยกระดับอาชีพขนส่งสาธารณะให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมในเรื่องของเศรษฐกิจ ธุรกิจ และการท่องเที่ยว ซึ่งสามารถสร้างรายได้เข้าสู่สังคม ลดต้นทุนการเดินทางได้

ผศ.ดร.ธนวรรธณ์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จำนวนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ได้รับใบอนุญาตในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล 73.57% จากทั่วประเทศ มีรูปแบบการให้บริการที่มีหลายแบบโดยเฉลี่ยแล้ว แบบรับ-ส่งทั้งผู้โดยสารและสิ่งของ 48.99% แบบรับส่งผู้โดยสารเพียงอย่างเดียว 36.60% และแบบรับ-ส่งเอกสารและสิ่งของเพียงอย่างเดียว 14.40% ซึ่งจะมีทั้งทำเป็นอาชีพหลักและทำเป็นอาชีพเสริม แต่ก็ยังผู้ขับขี่ที่ไม่มีการจดเบียนรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะอีก 29.94% เหตุผลที่ไม่จดคือไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก ค้าเช่าเสื้อวินแพง ไม่มีวินสังกัด ใช้สำหรับขนของเท่านั้น และอื่น ๆ จึงทำให้เกิดปัญหารถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะขึ้นตามด้วย ดังนี้

1. การทะเลาะวิวาท การแย่งลูกค้าระหว่างวินรถจักรยานยนต์รับจ้างและ Grab bike
2. ความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้า
3. บอกค่าโดยสารเกินราคาที่กำหนดให้กับลูกค้า
4. วินรถจักรยานรับจ้างเถื่อน ไม่มีใบอนุญาต
5. มารยาทในการขับขี่ บริการไม่สุภาพ
6. จอดรถทางเท้าไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย กีดขวางทางจราจร

โดยผู้ขับขี่จะอยู่ในช่วงวัยทำงานที่จะต้องดูแลครอบครัว คือช่วงอายุ 31-50 ปี จะมีระยะเวลาขับขี่ รถจักรยานยนต์รับจ้างหารายได้เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 4-6 ปี เป็นส่วนใหญ่ และปริมาณการขับรถจักรยานยนต์เฉลี่ยต่อวันแล้วได้ 41 เที่ยว/วัน และ 25 วัน/เดือน รายได้รายได้ทั้งหมดเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 1,500-2,000 บาทต่อวัน โดยที่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบในครอบครัว

จากผลสำรวจจะพบว่าผู้ขับขี่ที่มีบ้านเป็นของตัวเองจะมีอยู่ 22.42% เช่าอาศัย 44.76% และอยู่กับครอบครัวญาติพี่น้อง 32.82% จะเห็นได้ว่าเปอร์เซ็นต์ของผู้ขับขี่ที่เช่าอาศัยอยู่นั้นจะมีมากกว่าที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง ทำให้เห็นว่าอาชีพนี้ยังมีความมั่นคงไม่เพียงพอ และโดยส่วนใหญ่ของผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ยังคงมีหนี้สิน 69.40% ซึ่งมีทั้งหนี้ในระบบ 46.58% ที่สามารถกู้ได้ และ 53.02% ที่ไม่สามารถกู้ได้ นอกจากนี้ยังมีหนี้นอกระบบ 74.22% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 7.29/เดือน 11.18% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 4.53/สัปดาห์ และ 14.60% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.52 /วัน

โดยการผ่อนชำระหนี้สิ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา 57.64% จะผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถจักรยานยนต์ เนื่องจากการเงินขัดคล่อง หมุนเงินไม่ทัน ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และเศรษฐกิจตกต่ำคนใช้บริการลดลง

รายได้ที่ได้จากการขับขี่จักรยานยนต์เฉลี่ยอยู่ที่ 24,370.25 บาทต่อเดือน ต้นทุนโดยเฉลี่ยรวมการขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ที่ 11,633.64 บาทต่อเดือน กำไรจากการขับขี่จักรยานยนต์ 12,736.61 บาทต่อเดือน
ภาระในการดูแลสมาชิกในครอบครัวจากรายได้ในการขับขี่ 4 คน โดยเฉลี่ยต่อเดือนรายได้ต่อสมาชิกครัวเรือนคือ 3,184.15 บาทต่อเดือน และผลจากการสำรวจผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างมีความเห็นว่าอัตราค่าโดยสารควรเริ่มต้นที่ 33.02 บาท

ผศ.ดร.ธนวรรธณ์ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชั่นร้อยละ 35.80 ทั้ง Line Man , Grab (bike), UberMOTO, Gobike, BananaBike, SendRanger, LaLamove และ Skootar ส่วนกลุ่มที่ไม่มีการให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชั่นร้อยละ 64.20

ทั้งนี้ การที่มีกลุ่มการให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชั่น ทำให้เกิดผลกระทบต่อกลุ่มที่ไม่มีการให้บริการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชั่น เนื่องจากลูกค้าส่วนมากไม่เดินมาขึ้นที่วิน ทำให้จำนวนลูกค้าลดน้อยลงจากเดิม

นายประเสริฐ ชัยชาญอุดมสุข ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป สายงานธุรกิจ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม กล่าวว่า อาชีพขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างนั้นเป็นผู้ประกอบการขนาดย่อม การเข้าถึงระบบจังเป็นเรื่องยากในการไม่มีประวัติชำระหนี้สิน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมจึงได้ร่วมมือกับ SMEs bank ปล่อยเงินกู้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าสู่ระบบในจำนวนเงินที่เหมาะสม สามารถผ่อนคืนได้ตามที่กำหนด ได้เริ่มต้นสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีกับสถาบันทางการเงิน และนำเงินไปผ่อนรถจักรยานยนต์เพื่อนำไปประกอบอาชีพ หรือนำไปหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ พร้อมช่วยเหลือค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย ไว้ในราคารถที่จะขอสินเชื่อ และส่งเสริมโครงการช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันของรัฐ

ด้านความต้องการของผู้ประกอบการขับรถจักรยานยนต์เพื่อหารายได้ เงินทุนเฉลี่ยที่ต้องใช้สำหรับการมีจักรยานยนต์ใหม่ คือ 61,817.03 บาท โดยมี 27.49% ที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันเงินกู้โดยการทำการกู้กับ SMEs bank เพื่อซื้อรถจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง

สำหรับผลสำรวจสิ่งที่ผู้ประกอบการขับรถจักรยานยนต์ต้องการได้รับจากภาครัฐ คือ ควบคุมราคาสินค้า เช่น ราคาน้ำมัน ราคาเช่าเสื้อวิน ราคาสินค้าทั่วไป เป็นต้น

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องการได้รับจากภาครัฐอีกคือ ปรับราคาค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม จัดระเบียบและบทลงโทษให้เคร่งครัด สนับสนุนให้มีโครงการสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและเข้าถึงง่าย ในส่วนสิ่งที่ต้องการได้รับจากธนาคารของรัฐ คือ ปล่อยเงินกู้โดยไม่เสียดอกเบี้ย หรือลดอัตราดอกเบี้ย เพิ่มสินเชื่อ โดยไม่ต้องมีหลักประกัน อำนวยความสะดวกในด้านขั้นตอนการดำเนินการให้ง่ายขึ้น