เมื่อเทรนด์การดื่ม “กาแฟ” กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทย ประกอบกับเรามักจะเห็น “ร้านกาแฟ” (Coffee Shop) ตั้งอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งแต่ละร้านก็มีจุดเด่นที่ดึงดูดใจลูกค้าต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเมนูสุดครีเอท, การตกแต่งร้าน สำหรับคอกาแฟการได้เจอร้านกาแฟดีๆ ที่พิถีพิถันใส่ใจทุกขั้นตอนการชง เพื่อมอบความสุขและประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับคนรักกาแฟไม่ใช่เรื่องง่าย จนมีโอกาสได้มาเดินเล่นเลือกซื้อของอร่อยที่ “วิลล่า มาร์เก็ท สาขาหลังสวน” ชั้น B1 โครงการเวลา สินธร วิลเลจ เลยได้มาดื่มกาแฟที่ร้านMOKA: Muse of Kaffeine Addicts” เพียงแค่ชิมก็เห็นถึงความต่างของรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ทั้งกลิ่นหอมละมุนของฮันนี่ในกาแฟ แถมยังมีรสสัมผัสที่หอมหวานชุ่มคอของช็อกโกแลตและคาราเมล  จนต้องขอพูดคุยกับ “คุณบุ๋ม – กิรณา วงษ์สุวรรณ” เจ้าของร้าน MOKA: Muse of Kaffeine Addicts” ร้านกาแฟที่ผลิตเองแบบครบวงจรด้วยหัวใจ  ตั้งแต่ขั้นตอนการปลูก การคั่ว และการชง แถมยังใช้เมล็ดกาแฟ

พระราชทานสายพันธุ์ไทยไม่ตัดแต่ง ทำให้การดื่มกาแฟสักแก้วมิใช่เพียงการสัมผัสกับรสชาติเท่านั้น แต่เป็นการดื่มด่ำสุนทรียของรสชาติและจุดกำเนิดของเมล็ดกาแฟ

บุ๋ม – กิรณา วงษ์สุวรรณ เจ้าของร้าน MOKA: Muse of Kaffeine Addicts” เล่าถึงแรงบันดาลใจของจุดเริ่มต้นการเปิดร้านกาแฟที่ทำแบบครบวงจรว่า “ตอนเด็กๆ พี่จะดูข่าวในพระราชสำนักกับครอบครัวทุกวัน หนึ่งในเรื่องราวที่ประทับใจและเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่มีวันนี้ก็คือ พระมหากรุณาธิคุณของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9” ทรงมีพระวิสัยทัศน์กว้างไกลพลิกฟื้นพัฒนาชีวิตชาวไทยภูเขา จากแดนฝิ่นเป็นถิ่นกาแฟ พระราชทานต้นกล้ากาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ Bourbon” (เบอร์บอน) สายพันธุ์กาแฟที่เหมาะสมกับสภาพที่สูงของประเทศไทยให้ชาวไทยภูเขาหันมาปลูกกาแฟทดแทนฝิ่น ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจซึ่งมีแค่ 70 ประเทศทั่วโลกเท่านั้น ที่สามารถปลูกกาแฟได้ จากกาแฟต้นแรกในวันนั้น นำรายได้มหาศาลเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้ชาวไทยภูเขามีทุกวันนี้

จากความผูกพันที่เติบโตมากับกาแฟตั้งแต่เด็กและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จุดประกายความฝันให้พี่มีเป้าหมาย อยากผลักดันให้เมล็ดกาแฟพระราชทานสายพันธุ์ไทยที่ไม่ตัดแต่งพันธุกรรมเป็นที่รู้จักระดับโลก

MOKA: Muse of Kaffeine Addicts เป็นร้านกาแฟที่เริ่มต้นจากความรัก พี่รักในบ้านเกิดหลงใหลในรสชาติของกาแฟ สามี “Safak Mustafa Akkose” ชาวตุรกีก็เป็นนักคั่วกาแฟที่มีประสบการณ์กว่า 12 ปี ชื่นชอบการดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจและกาแฟสายพันธุ์ไทยก็มีรสชาติที่ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก เราทำกาแฟเองแบบครบวงจรโดยทำงานร่วมกันกับชาวอาข่า ปลูกกาแฟเองที่ไร่จังหวัดเชียงราย พิถีพิถันใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์กาแฟมาเพาะปลูก เราปลูกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ Bourbon” (เบอร์บอน) ซึ่งเป็นสายพันธุ์พระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ 9 จุดเด่นของเมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้คือ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของฮันนี่ รสสัมผัสที่ได้จะมีความหอมหวานของช็อกโกแลต, คาราเมล

คอยสังเกตจดบันทึกข้อมูลความชื้นในแต่ละปี เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟดิบที่สมบูรณ์ ไปจนถึงการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวแบบเฉพาะของกาแฟ MOKA” การเก็บบ่มอย่างถูกวิธี และการคั่วเมล็ดกาแฟหัวใจสำคัญที่จะช่วยควบคุมรสชาติและกลิ่นของกาแฟ ยังควบคุมคุณภาพโดย Safak Mustafa Akkose ที่นำประสบการณ์การคั่วกาแฟมาทั้งชีวิต มาออกแบบและสั่งทำเครื่องคั่วกาแฟให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับสายพันธุ์เมล็ดกาแฟไทยโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้รสและกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟสามารถนำมาทำเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นให้มีความอร่อย”

“MOKA: Muse of Kaffeine Addicts” มีทั้งหมด 3 สาขาได้แก่ อาคารสิริภิญโญ พญาไท, The 51 Tasty Moments (เดอะ 51 เทสตี้โมเม้นท์) ทองหล่อ และสาขาใหม่ล่าสุด วิลล่า มาร์เก็ท สาขาหลังสวน ชั้น B1 โครงการเวลา สินธร วิลเลจ ซึ่งคุณบุ๋มเล่าว่าที่ตัดสินใจเปิดสาขาในแต่ละพื้นที่นั้น เน้นจับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เพราะอยากได้ Feedback จากลูกค้าที่หลากหลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

เครื่องดื่ม Signature ที่แนะนำคือ

  • Sea Salted Caramel” ความผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหอมหวานจากซอสคาราเมลกับกาแฟคั่วบดคุณภาพดีส่งตรงจากไร่ จะได้รสความหอมหวานนุ่มละมุนของกลิ่นกาแฟกำลังดี หรือถ้าใครที่รักสุขภาพต้องลอง
  • Passionfruit mango smoothie.” สมูตตี้โบว์ลสีสันสดใสด้วยผลไม้สารพัดประโยชน์ทั้ง มะม่วง, เสาวรส เป็นต้น
  • Sea Salted Brownie” คนรักขนมหวานต้องชอบเมนูนี้ ความผสมผสานที่ลงตัวระหว่างคาราเมลและโกโก้ เพิ่มกิมมิคความอร่อยด้วยบราวนี่ นอกจากรสชาติจะไม่หวานเลี่ยนจนเกินไปแล้ว ยังเพิ่มความอร่อยที่ลงตัวระหว่างขนมกับเครื่องดื่มอีกด้วย และยังมีอีกหลายเมนูให้เราได้เลือกลิ้มลองอีกมากมาย

นอกจากความพิถีพิถันใส่ใจควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟไทย ที่ทางร้านร่วมมือกับชาวอาข่าช่วยกันพัฒนาเมล็ดกาแฟพระราชทานสายพันธุ์ไทยไม่ตัดแต่งนั้น ทางร้านยังมีเมล็ดกาแฟออร์แกนิคซึ่งคุณบุ๋มได้เมล็ดกาแฟมาจากไร่กาแฟออร์แกนิคของเพื่อนสนิท ซึ่งเป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพและมาตรฐานการรับรองเกษตรอินทรีย์สากล USDA (U.S. Department of Agriculture) จากสหรัฐอเมริกา และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากลของ EU จากการประเมินผลโดยหน่วยงาน OneCert  Asia  (OneCert Asia Agri Certifcation Pvt.Ltd. หรือหน่วยงานที่ดูแลการประเมินมาตรฐานเกษตรอินทรีย์) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดดเด่นด้วยกลิ่นของลิ้นจี่และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเปิดประสบการณ์ลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ เอาใจคอกาแฟสายออร์แกนิคกันอีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากความหลงใหลในรสชาติกาแฟจนการเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ที่ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ปลูกกาแฟภายใต้แนวคิดเกษตรที่ยั่งยืนร่วมกับชุมชนชาวอาข่า สู่การตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มุ่งวิจัยและพัฒนาเมล็ดกาแฟพระราชทานสายพันธุ์ไทยไม่ตัดแต่ง เพื่อให้กาแฟไทยเป็น Thai Single Origin Coffee” หนึ่งในสายพันธุ์กาแฟที่โด่งดังไปทั่วโลก “MOKA : Muse of Kaffeine Addicts” จึงไม่ใช่เพียงร้านกาแฟ แต่ยังเป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่ใจใหญ่ที่สู้เพื่อให้เกษตรผู้ปลูกกาแฟไทยได้มีอาชีพอย่างยั่งยืน

คอกาแฟที่อยากจะลิ้มรสความอร่อยในรสชาติกาแฟสายพันธุ์ไทยแท้ๆ หรือหลงใหลในรสชาติของกาแฟออร์แกนิคก็สามารถตามไปชิมกันได้ที่ “MOKA : Muse of Kaffeine Addicts”  ทั้ง 3 สาขา ได้แก่ อาคารสิริภิญโญ พญาไท, The 51 Tasty Moments (เดอะ 51 เทสตี้โมเม้นท์) ทองหล่อ และสาขาใหม่ล่าสุด “วิลล่า มาร์เก็ท สาขาหลังสวน” ชั้น B1 โครงการเวลา สินธร วิลเลจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan page :  Moka : Muse Of Kaffeine Addicts

การแข่งขันในตลาดกาแฟของจีน มูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปีนี้ส่อเค้าดุเดือดยิ่งขึ้นตั้งแต่ต้นปี เมื่อเชนร้านกาแฟสัญชาติจีนและสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์น “ลัคกิ้น” (Luckin) ประกาศแผนท้าชนเจ้าตลาดอย่าง “สตาร์บัคส์” ซึ่งถือส่วนแบ่งตลาด 80% อีกครั้ง หลังจากปล่อยหมัดใส่เชนร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันอย่างต่อเนื่องในปีที่แล้ว โดยชูจุดขายด้านราคา ความสะดวกและเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นตั้งราคาถูกกว่า 20-30%, เปิดบริการดีลิเวรี่ใน 30 นาที รวมถึงการจ่ายค่าสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่น เพื่อจับกลุ่มพนักงานออฟฟิศและนักศึกษา

โดยสำนักข่าว “แชนนัลนิวส์ เอเชีย” รายงานว่า ลัคกิ้นประกาศทุ่มงบฯไม่อั้นใช้กลยุทธ์ดาวกระจายสปีดสาขา 2,500 แห่งในเมืองระดับ 1 และ 2 ทั่วประเทศจีนภายในปีนี้ หรือคิดเป็นการเปิดสาขาใหม่ทุก 3.5 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้สิ้นปีเชนร้านกาแฟสัญชาติจีนมีสาขารวม 4,500 แห่ง แซงหน้าสตาร์บัคส์ที่มีสาขา 3,600 แห่งไปแบบขาดลอย พร้อมรักษาจุดขายด้านราคาถูกกว่าคู่แข่งและบริการดีลิเวอรี่ต่อเนื่อง

“เรลโน ชาลเกิล” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของลัคกิ้น กล่าวถึงแผนการนี้ว่า ตลาดกาแฟในจีนมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก สะท้อนจากอัตราการบริโภคกาแฟของชาวจีนซึ่งดื่มเฉลี่ย 4-5 แก้วต่อปี ในขณะที่ชาวญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ดื่มมากถึง 300 แก้วต่อปี จึงต้องเร่งสปีดสาขาในเมืองใหญ่ระดับ 1 และ 2 ซึ่งมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศและนักศึกษาที่เป็นเป้าหมายหลักอยู่จำนวนมาก อาศัยข้อได้เปรียบจากโมเดลแกร็บแอนด์โก หรือการสั่งกาแฟล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชั่นและมารับที่ร้านเมื่อชงเสร็จ และนำไปดื่มที่ออฟฟิศหรือมหา”ลัย รวมถึงบริการดีลิเวอรี่ใน 30 นาที จึงใช้พื้นที่น้อยสามารถหาทำเลได้ง่ายและค่าเช่าต่ำกว่าคู่แข่งอย่างสตาร์บัคส์และคอสต้า ซึ่งเน้นให้ลูกค้านั่งดื่มในร้าน

พร้อมกันนี้ยังดำเนินกลยุทธ์ราคาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งราคาต่ำกว่าเจ้าตลาด 20-30% อาทิ กาแฟลาเต้แก้วใหญ่ราคาเพียง 24 หยวน ในขณะที่สตาร์บัคส์ราคา 31 หยวน เพื่อดึงดูดลูกค้าด้วยความคุ้มค่า อาศัยเม็ดเงินจากผู้ลงทุนรายใหญ่ อาทิ บรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งรัฐบาลสิงคโปร์ หรือจีไอซี และวาณิชธนกิจสัญชาติจีน “ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล คอร์ป” ซึ่งปีที่แล้วบริษัทสามารถระดมทุนได้ถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตัวบริษัทมีมูลค่าถึง 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ครองตำแหน่งสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นด้านธุรกิจกาแฟรายแรกของแดนมังกร

“เรายังมีทุนมากพอที่จะทุ่มแบบไม่อั้นเพื่อการขยายสาขาและกลยุทธ์ราคาได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปีแน่นอน โดยปีที่แล้วใช้เงินลงทุนด้านต่าง ๆ ไปประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ” เรลโน ชาลเกิล ย้ำความมั่นใจ

สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มองว่า ลักค์อินสามารถสร้างแรงกดดันให้กับสตาร์บัคส์ได้ไม่น้อย เนื่องจากสามารถเล่นงานจุดอ่อนของเจ้าตลาดอย่างบริการดีลิเวรี่ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอาหารในประเทศจีน ที่ผู้คนนิยมสั่งอาหารไปทานที่บ้าน หรือที่ทำงานมากกว่า โดยแม้สตาร์บัคส์จะทำธุรกิจในจีนมานานถึง 20 ปี แต่กลับเพิ่งเปิดบริการดีลิเวรี่เมื่อ ส.ค.ปีที่แล้ว ด้วยการร่วมมือกับยักษ์อีคอมเมิร์ซ “อาลีบาบา” จนปัจจุบันมีบริการดีลิเวอรี่ 2,000 แห่ง จากทั้งหมด 3,600 แห่ง

ขณะเดียวกัน สตาร์บัคศ์ยังเริ่มใช้กลยุทธ์ราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าและปรับคาดการณ์อัตราเติบโตของยอดขายระยะยาวเป็น 1% ขณะเดียวกันปรับกลยุทธ์ในจีน หันโฟกัสคอกาแฟระดับบน-พรีเมี่ยมมากขึ้น โดยเน้นกาแฟแบรนด์ “รีเซิร์ฟ” ที่ใช้เมล็ดกาแฟหายาก คัดพิเศษจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อเลี่ยงการแข่งขันราคาในตลาดระดับแมส-กลาง สะท้อนถึงความดุเดือดของการแข่งขัน

“ไฮ่ โยวหวั่น” นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจดาเค่อ ให้ความเห็นว่า สถานการณ์นี้คล้ายกับการแข่งขันระหว่าง 2 บริการเรียกรถ “อูเบอร์” จากสหรัฐ กับ “ดิดี” (Didi) ของจีน ซึ่งแข่งขันราคากันอย่างดุเดือด ซึ่งสุดท้ายอูเบอร์ต้องยกธงขาวขายกิจการในจีนให้ดิดี

ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าม้ามืดสัญชาติจีนรายนี้จะสามารถล้มยักษ์อเมริกัน และครองตลาดกาแฟในประเทศบ้านเกิดได้หรือไม่

 


ที่มา คอลัมน์ MARKET MOVE / นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ายุค “เมกะเทค” นี้ โลกได้ถูกขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะกลุ่มคนเก่ง (Talented People) ที่เป็นด่านหน้าในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความคิดใหม่ๆ ในการพัฒนาประเทศ แน่นอนว่ากลุ่มคนเก่งเหล่านี้ มักจะอยู่รวมกันเป็นสังคม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์ประสบการณ์ในหลากหลายมิติ หากจะพูดถึงย่านคนเก่งแล้ว คงจะหนีไม่พ้น ซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) ที่อยู่ทางตอนใต้ของพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโกในสหรัฐอเมริกา อันเป็นย่านสุดเนิร์ด แหล่งรวมคนมากความสามารถ หรือหากเป็นเอเชีย ที่กำลังมาแรงคือ “เซินเจิ้น” แหล่งรวมคนทาเล้นท์ จนมีสมญานามว่า “ซิลิคอน วัลเลย์แห่งเอเชีย” หรือ “บังคาลอร์” เมืองใหญ่ในประเทศอินเดีย ที่กำลังเป็นแหล่งรวมชุมชนคนเก่ง สำหรับประเทศไทย ราชประสงค์ ย่านที่ได้รับการขนานนามว่า “The Heart of Bangkok” และใช้โมเดล Smart District แห่งแรกของเมืองไทย โดยผสานเทคโนโลยีเข้ากับการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทไลฟ์สไตล์ (Smart Lifestyle) ร่วมกันในที่แห่งเดียว จึงกลายเป็นย่านแห่งไลฟ์สไตล์และธุรกิจต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ โดยเหตุผลหลักที่ผลักดันย่านราชประสงค์ให้กลายเป็น ศูนย์รวมสังคมคนทาเล้นท์ ที่มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีสมาร์ทออฟฟิศรวมตัวกันเป็นโซไซตี้ รวมถึงเป็นย่านที่มีการดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และล่าสุดย่านราชประสงค์ได้เปิด “ราชประสงค์ วอล์ก –  R-Walk” โครงข่ายเส้นทางเดินเชื่อม 4 ทิศทาง อำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ให้สามารถเดินได้ทั่วย่านอย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อ เชื่อมทุกประสบการณ์และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะการอยู่อาศัย ทำงาน เรียน หรือบันเทิง ราชประสงค์จึงกลายเป็นย่านที่รวมตัวของสังคมคนเก่ง (Talented People) เป็นที่ตั้งยุทธศาสตร์ขององค์กรมากมายถึง 500 บริษัท ต่างเป็นองค์กรที่โดดเด่นของแต่ละธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเงิน อาทิ หยวนต้า (Yuanta) ธนาคารเกียรตินาคิน เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MayBank Kim Eng) ธุรกิจเทคโนโลยี อาทิ ไลน์ (Line) เฟซบุ๊ค (Facebook) ธุรกิจการตลาด อาทิ แมคฟิว่า (McFiva) ฯลฯ จนทำให้ย่านกลายเป็นแลนด์มาร์คของสังคมคนเก่งไปโดยปริยาย

ซึ่งแน่นอนว่า ที่ไหนมีคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่นั่นจะต้องมีโคเวิร์คกิ้งสเปซ และ ร้านกาแฟสุดโมเดิร์น เป็นของคู่ใจ สำหรับนักคิด และเหล่านักสร้างสรรค์แล้ว “ไอเดียดี อารมณ์ดี มาจากกาแฟดีๆ สักแก้ว ในสถานที่ที่ใช่” บรรยากาศที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ การช่างสังเกตและแลกเปลี่ยนความคิดกับคนเก่งๆ นำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น โคเวิร์คกิ้งสเปซ และ ร้านกาแฟสุดโมเดิร์นจำนวนมาก จึงเกิดขึ้นภายในย่านราชประสงค์เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพ (Productivity) และการสร้างสรรค์ (Creativity) ในการทำงานของบุคคลกลุ่มนี้ และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) อีกทั้งยังตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานกลุ่มคนเก่งในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท นักศึกษา ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจดาวเด่น (Talented Entrepreneurs) ที่ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา (Mobile Working)

ปักหมุด 9 ที่สุด โคเวิร์คกิ้งสเปซ และ ร้านกาแฟสุดโมเดิร์น ใจกลางเมือง

เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท (Gaysorn Urban Resort) แลนด์มาร์ค CO-SHARING SPACE แห่งใหม่ใจกลางเมือง ตอกย้ำคอนเซ็ปต์ “Work-Live-Play-Grow” ด้วยการออกแบบพื้นที่และตกแต่งในสไตล์รีสอร์ทที่ผสมผสานระหว่าง “ธรรมชาติ” และ “เมือง” เข้าด้วยกัน ให้บรรยากาศร่มรื่น ผ่อนคลาย และสบายตา ทำให้สมองปลอดโปร่ง ก่อให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์และความคิดนอกกรอบมากมายได้อย่างอิสระ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ถูกออกมาเพื่อรองรับกิจกรรมประเภทต่างๆ และให้คุณสามารถเลือกใช้พื้นที่ได้อย่างอิสระ พร้อมด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส (World Class Facilities) ที่ครบครัน มีโซน Working Space Sharing ที่มอบอิสระให้นักธุรกิจได้คิดงานแบบสร้างสรรค์ หรือพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ร่วมกัน ไปจนถึง Private Office อย่าง Cocoon Office และยังมีมุมทำงานคนเดียวไร้เสียงรบกวนด้วย Hot Desk Area อีกทั้งยังมีโซน Event Space รองรับการจัดประชุม สัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงในรูปแบบต่างๆที่หลากหลาย รองรับการจัดงานได้ถึง 200 ที่นั่ง

ราคา: ไม่มีค่าบริการสำหรับพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซ/แพ็คเกจสำหรับห้องประชุม ราคาเริ่มต้นชั่วโมงละ 1,000++ บาท
พิกัด: เกษรทาวเวอร์ ชั้น 19 เปิดบริการวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 22.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-253-3999, 
www.gaysornurbanresort.com FB: @GaysornUrbanResort IG: @GaysornUrbanResort

 

เวิร์ค (WERK) เป็น Lifestyle Space แห่งแรกที่ตั้งอยู่บนสถานีรถไฟฟ้า BTS สถานีใจกลางเมือง อย่างราชดําริ เป็นการผสมผสานแบบลงตัวที่ไม่เหมือนใครระหว่างสถานที่ที่เดินทางสะดวก พื้นที่ Physical Store สำหรับแบรนด์ และพื้นที่การทำงานอเนกประสงค์ เวิร์คตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วิถีชีวิตคนเมืองรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียน หรือวัยทํางาน ในย่านราชประสงค์ และรองรับคนที่กําลังหาสถานที่ทํางาน อ่านหนังสือ ด้วยบรรยากาศที่มีความเป็นส่วนตัวสูง เงียบสงบ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายบนสถานี BTS ด้วยการตกแต่งที่ทันสมัย พร้อมเก้าอี้ที่รองรับคนที่นั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เป็นสถานที่ทำงานที่สร้างแรงบันดาลใจและความสร้างสรรค์ มีโซน WERK Brand Space ที่สามารถใช้เป็นสถานที่ทำงาน จัดโชว์รูม หรือจัดกิจกรรม WERK Co Space ที่เป็นพื้นที่ทำงานร่วมกัน เหมาะสำหรับฟรีแลนส์หรือนักศึกษาทั่วไป และ WERK Meet Space ห้องประชุมที่สามารถรองรับได้ 6-8 คน พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่อมัลติมีเดียต่างๆ อีกทั้งยังครบครันด้วยเครื่องเขียนที่มีให้ยืมใช้ มีบริการอินเตอร์เน็ต ปริ้นท์ และสแกน พร้อมเครื่องดื่มชาและกาแฟ

สอบถามราคาได้ที่ โทร. 083-545-4311, โคเวิร์คกิ้งสเปซ ราคาเริ่มต้น 300 บาทต่อวัน, และห้องประชุม ราคาเริ่มต้น 400 บาทต่อชั่วโมง

พิกัด: สถานีรถไฟฟ้า BTS ราชดำริ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 23.00 น.

 

Research & Innovation for Sustainability Centre หรือ RISC (ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน) เป็นศูนย์วิจัยและการทดสอบแห่งแรกของอาเซียนที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อมและการเป็นอยู่ของมนุษย์ ครบครันด้วยห้องแล็ปและศูนย์ทดสอบมากมายที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยไว้เพื่อรองรับกิจกรรมวิจัยและสร้างนวัตกรรมใหม่แบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ โดย RISC เป็นที่แรกของประเทศไทยที่ใช้เทคโนโลยีการกำบังเสียงเพื่อให้เกิดความสงบ และค้นหาโซลูชั่นและนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่และนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น ในโซนคาเฟ่ มีการตกแต่งในสไตล์ธรรมชาติ ด้วยตู้สวนผัก และพืชนานาชนิด และเซ็นเซอร์บ่งบอกคุณภาพอากาศ โดย RISC มีหลากหลายมุมให้ทุกคนที่มาเยือนได้นั่งคิดงานแบบสร้างสรรค์มากมาย ไม่ว่าจะมาคนเดียวหรือพบปะผู้คนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด

ราคา: ไม่มีค่าบริการสำหรับพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซ

พิกัด: โครงการแมกโนเลีย ราชดำริ บูเลอวาร์ด ชั้น 4 เปิดบริการวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 17.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083-095-5268

 

วีโค่ซิสเต็ม (Wecosystem) พื้นที่แห่งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างวัฒนธรรมผู้ประกอบการในประเทศไทยในย่านที่มีธุรกิจสตาร์ทอัพมากมายอย่างย่านราชประสงค์ โดยเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ประกอบการที่รวบรวมหลายหลักสูตรการเรียนรู้ทางธุรกิจทุกระดับจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เช่น การสร้างทักษะทางธุรกิจ แบรนด์ดิ้ง การวางแผนทางการเงิน การออกแบบสิ่งที่จับต้องได้และประสบการณ์ รวมถึงด้านเทคโนโลยี ผ่านวิธีบ่มเพาะผู้ประกอบการด้วยการฝึกอบรมและทำเวิร์คช็อป เพื่อสร้าง mindset ใหม่เพื่อต่อยอดให้นำความคิดและไอเดียทางธุรกิจจากระยะแรกเริ่มมาสร้างให้เกิดเป็นธุรกิจได้จริง ภายในพื้นที่ได้แบ่งออกเป็น Cafe & Studio, Private Meeting, และ Wecosystem Outpost ให้ผู้คนได้เข้ามาทำงานหรือแลกเปลี่ยนไอเดียและความคิดสร้างสรรค์

ราคา: สมาชิกแพ็คเกจ สำหรับโคเวิร์คกิ้งสเปซ เริ่มต้น 6,000+/3 เดือน

พิกัด: เกษรทาวเวอร์ ชั้น 9 ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092-274-7434 และติดตามได้ที่ www.wecosystem.co

 

เดอะ เกรท รูม (The Great Room) จากสิงคโปร์ และเมื่อเร็วๆ นี้ได้เปิดตัวที่กรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก ณ เกษร ทาวเวอร์ ซึ่งตอบรับกระแสนิยมของโคเวิร์คกิ้งสเปซได้เป็นอย่างดี แรงบันดาลใจในการสร้าง เดอะ เกรท รูม เกิดจากการศึกษาเกี่ยวกับสำนักงานที่ดีที่สุดของโลก โรงแรมหรู และสโมสรธุรกิจชั้นนำ เพื่อมอบความรู้สึกสบาย โปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด และสดใส ให้กับผู้ใช้พื้นที่ เดอะ เกรท รูม ถูกตกแต่งและจัดสรรเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและส่วนกลาง มีบรรยากาศที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการใช้สมาธิสูง มีพื้นที่ไว้สำหรับจัดกิจกรรมสันทนาการ มีห้องประชุมหลากหลายรูปแบบไว้ให้บริการและพื้นที่ส่วนรวมเพื่อการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจและทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อผลิตผลงานที่มีคุณภาพ 

ราคา: 9,500 บาท ต่อชั่วโมง/แพ็คเกจสำหรับห้องประชุม ราคาเริ่มต้นชั่วโมงละ 720 บาท

พิกัด: เกษรทาวเวอร์ ชั้น 25 & 26 ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-703-0222

 

สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ (Starbucks Reserve) เป็นมากกว่าร้านกาแฟธรรมดาทั่วไป เพราะเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซ ที่มีมุมให้นั่งทำงานคนเดียวหรือเป็นกลุ่มหรือนั่งจิบกาแฟในวันสบายๆ และมีห้องประชุม พร้อมจอ LCD เพื่อรองรับมัลติมีเดียต่างๆ และถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยผลงานของศิลปินชาวไทยชื่อดัง มีโซน “Starbucks Reserve Experience Bar” ซึ่งเป็นบาร์กาแฟที่มาพร้อมกับเครื่องดื่มพรีเมี่ยมโดยใช้เมล็ดกาแฟแบบ Coffee Reserve มอบความอร่อย หอม และกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ยังมี Starbucks® DRAFT แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแท็ปดราฟต์สำหรับอัดก๊าซไนโตรเจน เครื่องดื่มจะเสิร์ฟตรงจากแท็ป ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 แบบ คือ แท็ปโคลด์ บรูว์ แท็ปไนโตร โคลด์ บรูว์ แท็ปชา และแท็ปนม ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับฟองครีมละเอียดนุ่มนวลละมุนลิ้นคล้ายเบียร์ ลื่นคอ และมอบรสชาติเครื่องดื่มอย่างแท้จริง
โดยไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มผสมนม สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นสาขาใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยความกว้างขวางถึง 760 ตารางเมตร สามารถรองรับลูกค้าได้ 230 ที่นั่ง และซิกเนเจอร์เมนูของร้านคือ Undertow, Vanilla Bean Latte, และ Shakerato Bianco Over Ice

ราคา: 55-200 บาท

พิกัด: ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (ใกล้ทางเข้าอิเซตัน) ชั้น 1 เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 22.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 084-438-7336

 

สแนป คาเฟ่ (Snap Cafe) ร้านกาแฟสไตล์มินิมอลโทนสีขาว ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนและตัดด้วยโทนสีเข้มอย่างสีดำทำให้ดูเท่ และถูกออกแบบให้มีความโปร่ง โล่ง สะอาด และสบายตา มีเครื่องดื่ม
นานาชนิดและเต็มไปด้วยอาหารที่หลากหลายให้เลือกสรร ซิกเนเจอร์เมนูของร้านคือ ข้าวแต๋น, Salted Caramel ที่เพิ่มความหวานโดยการใส่ผงลูกอมชื่อดังของเยอรมันอย่าง Werther’s Original ไว้ด้านบน และ แซนวิชไข่ดาวและทูน่า จุดเด่นของร้านอีกหนึ่งอย่างคือ การมีแท็ปสำหรับอัดก๊าซไนโตรเจนซึ่งเพิ่มความพิเศษให้ Nitro Cold Brew ทำให้เกิดฟองครีมนวลละเอียดคล้ายเบียร์ มีมุมสำหรับนั่งทำงานหรือ
อ่านหนังสือ พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

ราคา: 80-200 บาท

พิกัด: เกษรวิลเลจ ชั้น 1 เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 น. ถึง 19.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 089-244-5191

 

คาซ่า ลาแปง (Casa Lapin) เป็นร้านกาแฟสุดฮิตของเหล่าวัยรุ่นที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้หรูสีน้ำตาลเข้ม ตัดด้วยโซฟาสีฟ้าเข้มที่เพิ่มความเท่ มีที่นั่งสบาย มอบความรู้สึกเสมือนอยู่บ้าน พร้อมเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินระหว่างการทำงาน คาซ่า ลาแปง สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ มีเมนูอาหารจานหลักและทานเล่น เครื่องดื่มกาแฟ ชา และผลไม้ เบเกอรี่ และขนมหวานนานาชนิดมากกว่าสาขาอื่น เสิร์ฟกาแฟทั้งแบบเครื่องชงและแบบกาแฟดริป และ Cold Brew ให้รสชาติที่กลมกล่อม ไฮไลท์ของคาซ่า ลาแปง สาขานี้คือเครื่อง Steampunk เทคโนโลยีสุดล้ำด้วยการสั่งงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เลือกเมล็ดกาแฟ ซึ่งทางร้านมีให้เลือกถึงสองแบบ คือ เมล็ดกาแฟไทยและเมล็ดกาแฟจากต่างประเทศ เช่น เอธิโอเปีย เคนยา คอสตาริกา และโคลอมเบีย เพิ่มความพรีเมี่ยมให้กับรสชาติ/กาแฟในทุกๆ แก้วอย่างมีคุณภาพ ซิกเนเจอร์เมนูของร้านคือ Flat White และแซลมอนครีมชีส พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

ราคา: 90-200 บาท (ช่วง Early Bird promotion เวลา 10.00 น. ถึง 12.00 น. เมนูกาแฟลดเหลือแก้วละ 70 บาท)

พิกัด: ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (โซนเอเทรียม) ชั้น 3 เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 22.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-116-3308

 

กาแฟวาวี (Wawee Coffee) ร้านกาแฟจากจังหวัดเชียงใหม่สไตล์ไทย เพิ่มสาขามาที่ใจกลางเมืองกรุง ณ ย่านราชประสงค์ เสิร์ฟกาแฟทั้งแบบเครื่องชงและแบบกาแฟดริป อีกทั้งยังมีเมนูชา ผลไม้ ขนม ไอศกรีมมะพร้าว และน้ำผลไม้อีกด้วย เมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ที่ใช้ในร้านปลูกในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย มีโรงคั่วและผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เครื่องคั่วที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล ทำให้ได้เมล็ดกาแฟมีเอกลักษณ์โดดเด่นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว อีกทั้งยังได้รับรางวัลมาตรฐานออร์กานิคจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปอีกด้วย กาแฟวาวีถูกออกแบบให้มีบรรยากาศโปร่งและโล่ง พร้อมสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพฯ และทิวทัศน์ของราชประสงค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งได้เป็นอย่างดี รวมถึงราชประสงค์ วอล์ก ที่เต็มไปด้วยคนทำงานและนักท่องเที่ยว ซิกเนเจอร์เมนูของร้านคือ กาแฟวาวี พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและไวไฟ

ราคา: 75-100 บาท

พิกัด: บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาราชดำริ ชั้น 2 เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 21.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-250-4946

นี่คือขุมพลังของออฟฟิศเคลื่อนที่…นี่คือคลังในการขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนทำงานรุ่นใหม่….และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ราชประสงค์ยังเป็นศูนย์กลางที่รวมโคเวิร์คกิ้งสเปซ และ ร้านกาแฟ กว่า 60 แห่งให้เลือกสรรเปลี่ยนบรรยากาศไม่ซ้ำกัน เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนทาเล้นท์ซึ่งเป็นสังคมที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ในการสร้างสรรค์ไอเดียสุดเวิร์คตลอดเวลา เช่นเดียวกับย่านราชประสงค์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งในการเสิร์ฟไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ ดั่งคำกล่าวของ Woody Allen ผู้กำกับและนักเขียนชื่อดังที่ว่า “ไอเดียใหม่ๆ มาจากการเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบรรยากาศ และเจอผู้คน”

 

แม้เครื่องดื่มหลักของชาวญี่ปุ่นจะเป็นชาเขียว แต่กระแสนิยมกาแฟระดับไฮเอนด์ที่มาแรงในกลุ่มผู้บริโภคกำลังซื้อสูง พร้อมทุ่มทุนแลกกับกาแฟหอมกรุ่นตรงใจจนตลาดนี้เติบโตต่อเนื่อง 4 ปีซ้อนตั้งแต่ปี 2556-2560 ทำให้หลายธุรกิจ อาทิ ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า หันมาสนใจปั้นสินค้า-บริการใหม่หวังชิงเม็ดเงินจากบรรดาคอกาแฟเหล่านี้

สำนักข่าว “นิกเคอิ” รายงานว่า ธุรกิจใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นหลายราย อาทิ มูจิ พานาโซนิค ลอว์สัน และเซเว่นอีเลฟเว่น พร้อมใจกันเดินหน้ารุกตลาดกาแฟระดับไฮเอนด์ หลังเทรนด์นี้แพร่หลายอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภคระดับบน สะท้อนจากตัวเลขมูลค่าตลาดกาแฟแดนอาทิตย์อุทัยที่โตต่อเนื่อง 4 ปีจนแตะ 2.9 ล้านล้านเยนในปี 2560 รวมถึงการคาดการณ์กำไรของหลายธุรกิจในวงการ อาทิ ซันโทรี่ซึ่งวางเป้ากำไรของกาแฟบอส (Boss) ไว้ที่ 8 หมื่นล้านเยน เติบโต 2% หรือโคคา-โคลาที่ตั้งเป้ากำไรจากกาแฟจอร์เจีย (Georgia) ที่ 2.8 หมื่นล้านเยน เติบโต 14%

โดย “มูจิ” เชนร้านสินค้าไลฟ์สไตล์เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เข้าสู่ตลาดนี้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยเครื่องทำบด-ต้มกาแฟสำหรับครัวเรือนราคา 32,000 เยน หรือประมาณ 9,400 บาท ซึ่งทำยอดขายไปแล้วกว่า 25,000 เครื่องหลังเปิดตัวได้เพียง 9 เดือน เช่นเดียวกับ “พานาโซนิค” ซึ่งลอนช์เครื่องคั่วกาแฟระดับไฮเอนด์ราคา 100,000 เยน หรือกว่า 29,400 บาท เมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว และขายไปแล้ว 200 เครื่อง

นอกจากนี้ บรรดาเชนร้านสะดวกซื้อที่เดิมเน้นกาแฟราคาถูกเริ่มหันมาอัพเกรดคุณภาพสินค้ากลุ่มนี้ให้สูงขึ้น โดย “เซเว่นอีเลฟเว่น” ประกาศเพิ่มความเข้มข้นของกาแฟแก้วละ 100 เยน ที่ชงขายในร้านขึ้นอีก 10% ในขณะที่ “ลอว์สัน” ทุ่มโปรโมตกาแฟพรีเมี่ยมแบบซิงเกิลออริจิ้นราคาแก้วละ 500 เยนของตนเองอย่างหนัก หวังลบภาพลักษณ์กาแฟราคาถูกที่อยู่คู่กับเชนร้านสะดวกซื้อมานาน พร้อมดึงดูดคอกาแฟระดับบนเข้ามาความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดกาแฟของญี่ปุ่นที่จะดุเดือดขึ้นหลังบรรดาผู้เล่นหน้าใหม่โดดเข้าร่วมวง และต้องรอดูกันว่าจะขยายขอบเขตออกไปนอกประเทศด้วยหรือไม่

ด้านธุรกิจร้านกาแฟและร้านอาหารเองมีการปรับตัวรับเทรนด์นี้เช่นเดียวกัน ด้วยการเพิ่มแบรนด์สำหรับรองรับกลุ่มไฮเอนด์โดยเฉพาะ เช่น บริษัทโดเตอร์ นิชิเรส โฮลดิ้ง (Doutor Nichires Holdings) ซึ่งเปิดกิจการเชนร้านกาแฟโดเตอร์มาตั้งแต่ช่วงปี 2523 ได้เพิ่มแบรนด์ใหม่ “ออสโลว์ คอฟฟี่” ร้านกาแฟสไตล์สแกนดิเนเวียน หวังสื่อภาพลักษณ์ของนอร์เวย์ที่เป็นผู้บริโภคกาแฟอันดับ 1 ของโลก และก่อนหน้านี้ เชนร้านอาหาร “ร้านสกายลาร์ค” (Skylark) ได้เปิดโมเดลคาเฟ่สไตล์รีสอร์ตไปเมื่อปี 2558 เช่นกัน


ที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ