“ภัตตาคาร บลู เอเลเฟ่นท์ และโรงเรียนสอนทำอาหาร บลู เอเลเฟ่นท์ ” โดยเชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนทำอาหารและเชฟแห่ง “ภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์” ร่วมสาธิตเมนูยอดนิยม “โรตี แกงเขียนหวานไก่” และมอบบัตรรับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร บลู เอเลเฟ่นท์ กรุงเทพ หรือ สาขาภูเก็ต สำหรับผู้ที่มาร่วม กิจกรรม “ควีนส์คัพ พิงค์โปโล 2020” ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเพื่อหารายได้มอบให้โครงการมะเร็งเต้านม มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ณ สนามไทยโปโล แอนด์ อีเควสเทรียนคลับ พัทยา เมื่อเร็วๆ นี้

สิ่งที่ “ภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์” ร้านอาหารไทยระดับโลก ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือ การจัดทำเมนูพิเศษเดือนตุลาคม ร่วมกับ “มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ” เพื่อสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งในแต่ละปีจะมีเซ็ตอาหารที่แตกต่างออกไป

ในปีนี้ เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนทำอาหาร และเชฟแห่ง “ภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์” ได้ครีเอทเมนู Pink Ribbon 2019 ออกมาได้น่าสนใจทีเดียว โดยนำสมุนไพร วัตถุดิบในท้องถิ่นที่ล้วนแล้วแต่เป็นซูเปอร์ฟู้ด มาใช้ประกอบอาหาร ตั้งแต่ในอาหารเรียกน้ำย่อย อาหารว่าง อาหารจานหลัก กระทั่งขนมหวานและเครื่องดื่ม ที่เชฟนูรอ บรรจงปรุงออกมาให้โดดเด่นทันสมัยทั้งหน้าตา และรสชาติที่หากได้ชิมรับรองว่าสารความสุขจะเอ่อล้นอย่างมาก

เริ่มจาก อาหารเรียกน้ำย่อย มี 2 อย่าง คือ “หนังปลาแซลมอนหม่าล่าน้ำพริกหนุ่มไข่ปลาคาเวียร์” อย่างแรกนี้เผ็ดระดับกลาง รสชาติจัดจ้าน จากความเปรี้ยวเผ็ดของน้ำพริกหนุ่ม กรุบกรอบกับหนังปลาแซลมอน เติมความหรูหราด้วยไข่ปลาคาเวียร์จากฟาร์มที่หัวหิน อย่างที่ 2 คือ “ยำปูใบชะคราม” รสนุ่มละมุนผ่อนความร้อนแรงลงมา

อาหารว่างมี 3 อย่าง คือ “ส้มตำแก่นตะวันทูน่าสับปะรดสาหร่ายพวงองุ่น” รสชาติจี๊ดจ๊าด “หมูกอและ” เนื้อแน่นหอมขมิ้น และ “ช่อชมพู” คล้ายๆ ช่อม่วง แต่ประยุกต์เป็นสีชมพูได้จากไม้ฝาง ไส้ไก่ อร่อยกลมกล่อม

ตามด้วยซุป “กะหรี่ไหมฝาน” เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวเพอรานากัน ที่คนไทยรู้จักในนาม บาบ๋า ย่าหยา ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิมที่เกิดจากชาวจีนกับคนพื้นถิ่น เป็นสูตรที่เชฟนูรอได้มาจากคุณแม่ของคุณหมอโกศล แตงอุทัย นายกสมาคมเพอรานากันประเทศไทย รสชาติจะคล้ายกับข้าวซอย กินกับหมี่ขาว และ ไก่ลวก แต่จานนี้เชฟนูรอเพิ่มความโมเดิร์นใส่ฟัวกราส์ลงไปให้ความหรูหราอลังการมากๆ

จานหลักมี 2 อย่าง คือ “กุ้งลายเสือทอดซอสพริกไทยกระเทียมดำ” จานนี้มีกระเทียมดำเป็นนางเอก ด้วยความที่สรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะลดไขมันในเส้นเลือดจึงเหมาะแก่คนที่รักสุขภาพมากๆ รสชาติจัดจ้าน แหลมเปรี้ยวนิดๆ จากกระเทียมดำที่ผ่านการบ่มอย่างดี และ “แกงสิงหลแก้มวัว” จานนี้สูตรศรีลังกาตั้งแต่สมัย ร.2 ใช้แก้มวัวที่มีไม่มาก เนื้อสัมผัสนุ่มหยุ่น กินกับโรตีก็อร่อย หรือ ข้าวผัดขมิ้นที่เพิ่มความอร่อยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็ดีมาก

ปิดท้ายด้วยขนมหวาน 3 ชนิด คือ “หม้อแกงถั่วพิสตาชิโออินทผลัม” พลิกแพลงใช้อินทผลัมแทนน้ำตาลทำเป็นหน้าเค้ก หวานละมุน “เชอร์เบทมังคุด” เปรี้ยวสดชื่น และ “โยเกิร์ตไวท์ช็อกแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่” ที่หวานตัดด้วยแยมรสเปรี้ยว ฝาดหน่อยๆ อร่อยลงตัว

เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้

เชฟนูรอ ในฐานะ ทูตกิตติมศักดิ์ โครงการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านม บอกว่า เดือนตุลาคมทุกปีเราจะทำ Pink Ribbon Menu ขึ้นมา โดยปีนี้เราใช้ธีมเป็น Herbs for Health คือ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เพราะอยากนำสมุนไพรต่างๆ ของประเทศไทย มาปรุงอาหารให้ลูกค้าได้รู้จักว่าสมุนไพรแต่ละตัวเป็นซูเปอร์ฟู้ด อร่อยและมีประโยชน์อย่างมาก เช่น แก่นตะวัน หรือที่เรียกกันว่าอาร์ติโชคเยรูซาเล็ม ตัวนี้เป็นซูเปอร์ฟู้ดมาก มีประโยชน์ เอามาทำส้มตำแทนมะละกอก็อร่อย เพราะมะละกอดิบสำหรับคนอายุมากเมื่อกินมากๆ ก็อาจจะเฝื่อนท้อง เพราะย่อยยาก

กะหรี่ไหมฝาน
กุ้งลายเสือทอดซอสพริกไทยกระเทียมดำ
แกงสิงหลแก้มวัว
อาหารว่าง

ใครอยากชิม Pink Ribbon Menu เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม – 31 ตุลาคม 2562 ให้บริการเฉพาะมื้อกลางวัน ราคา 1,200 บาท ++ หรือ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-673-9353-8 โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม

Go Pink with Chef Nooror Menu 2018 เมนูสุขภาพร้านอาหารไทย “Blue Elephant” ปรุงด้วยใจ ชูวัตถุดิบท้องถิ่นสู่อาหารไทยระดับพรีเมี่ยม

“อาหารคือยา ยาคืออาหาร” เพราะอาหารนอกจากจะสร้างความสุขให้กับเราตอนกินแล้ว ยังเป็นยารักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงไปด้วย โดยเฉพาะอาหารไทย ที่ประกอบด้วยผักและเครื่องเทศ หลายชนิดเป็นสมุนไพรชั้นดี มีสรรพคุณในการรักษาโรค อาหารไทยจึงไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังช่วยบำรุงร่างกายของเราอีกด้วย

หนึ่งในอาหารไทยกินแล้วดีต่อร่างกายที่อยากแนะนำคือเมนูสุขภาพภายใต้ชื่อ “Go Pink with Chef Nooror Menu 2018” ที่รังสรรค์ขึ้นโดย “เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้” ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนทำอาหารและเชฟของภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์ (Blue Elephant) ภัตตาคารไทยที่โด่งดังในต่างประเทศมาเกือบ 4 ทศวรรษ ซึ่งนอกจากจะมีสาขาในต่างประเทศหลายแห่ง เช่น บรัสเซลส์ ปารีส บลู เอเลเฟ่นท์ ยังมีสาขาที่กรุงเทพฯและภูเก็ตด้วย

ไม่เพียงสอนทำอาหารและเป็นเชฟที่ปรุงทุกเมนูด้วยใจและความรักในการทำอาหาร แต่เชฟนูรอยังเป็นทูตกิตติมศักดิ์ของโครงการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านมอีกด้วย ซึ่งเชฟจะจัดทำเมนูอาหารไทยเพื่อสุขภาพ เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งหลังหักค่าใช้จ่ายสมทบทุนกับมูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านม โดยดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว

เชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้

ในแต่ละปี เมนูอาหารเชฟนูรอ หรือที่ใครๆ ก็เรียกเธอว่า “มาดาม” จัดทำขึ้นสำหรับโครงการนี้จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปีนี้ มาดามเล่าให้ฟังว่า แต่ละจานนอกจากจะเน้นไปที่ดีต่อสุขภาพของผู้หญิง ยังมีการนำวัตถุดิบท้องถิ่นของหลายพื้นที่ในประเทศไทยมาใช้ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่ได้รับมาจากการลงพื้นที่ชุมชนผ่านโครงการ “เชฟชุมชนเพื่อท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน” หรือ Local Chef Thailand โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และเชฟชุมพล แจ้งไพร

สำหรับเมนูอาหารใน “Go Pink with Chef Nooror Menu 2018” จะเสิร์ฟแบบ Fine Dining โดยแบ่งออกเป็น เมนูสตาร์ตเตอร์ อาหารจานหลัก และของหวาน จะน่ากินขนาดไหน ลองไปดูกัน

สมูทตี้มะม่วงหาวมะนาวโห่

เริ่มด้วยเมนูเครื่องดื่มสมูทตี้เปรี้ยวชื่นใจ ใช้วัตถุดิบพื้นบ้านอย่าง “มะม่วงหาวมะนาวโห่” ที่เก็บมาจากสวนสมุนไพรที่บ้านของมาดามที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตัวสมูทตี้เปรี้ยวกำลังดี รสไม่ฝาด มีการผสมมะนาวเพื่อช่วยให้กินง่าย ช่วยตัดมันตัดเลี่ยน กินแล้วรู้สึกอยากกินอาหารอีก

หอยเชลล์กอและ

ส่วนเมนูสตาร์ตเตอร์ประเดิมด้วย “หอยเชลล์กอและ” ใช้หอยเชลล์ย่างเนยเสียบมาบนตะไคร้ ราดด้วยน้ำราดที่มีส่วนผสมของขมิ้น เวลากินให้กินครบทั้งหอยเชลล์ตัวอวบๆ น้ำราดแบบเยอะๆ หน่อย และผักด้านล่างรวมไปถึงพริกไทยเม็ดด้วย จะได้รสกลมกล่อมลงตัว ยิ่งเวลาที่กัดไปโดนเม็ดพริกไทยจนแตกออกมา ให้กลิ่นฉุน หอม เข้ากันดีกับเนื้อหอยเชลล์

ช่อชมพู

สวยหวานมาแต่ไกลต้องยกให้สตาร์ตเตอร์จานที่ 2 อย่าง “ช่อชมพู” หน้าตาและชื่อนั้นละม้ายคล้ายขนมช่อม่วง เพียงแต่ช่อชมพูนั้นเป็นสีชมพูตามชื่อ ซึ่งมาดามบอกว่าสีชมพูได้มาจากแก้วมังกร ตัวแป้งออกหนาไปนิดแต่นุ่ม ไม่เหนียว เพราะใช้น้ำกะทิในการผัดแป้งนั่นเอง

ส่วนไส้ข้างในเป็นปลาแซลม่อน ที่มีประโยชน์คือนอกจากมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้วยังมีโอเมก้า 3 ผัดกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย และถั่วแมคคาเดเมียจากโครงการหลวง

ตำแก่นตะวันลูกยอกับกุ้งแม่น้ำย่าง

เมนูสตาร์ตเตอร์ทีเด็ดพลาดไม่ได้ ใครได้กินเป็นต้องติดใจ ขอยกให้ “ตำแก่นตะวันลูกยอกับกุ้งแม่น้ำย่าง” ฟังชื่อแล้วหลายคนอาจไม่คุ้นหูเท่าไหร่สำหรับพืชอย่าง “แก่นตะวัน” ลักษณะเป็นหัว รสชาติออกมัน เนื้อสัมผัสกรอบ คล้ายมันแกว มีสรรพคุณในการต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยลดความดัน เบาหวาน ดีขนาดที่มาดามเองยังกินแก่นตะวันทุกวัน

จานนี้มาดามเอาแก่นตะวันมาตำกับกะปิภูเก็ต ใส่มะนาวหั่นพร้อมเปลือกชิ้นเล็กๆ ชวนน้ำลายไหลแบบไม่ต้องบรรยายมาก กินคู่กับกุ้งแม่น้ำไซซ์กำลังพอเหมาะย่างมาหอมๆ อร่อยอย่าบอกใครเลยทีเดียว

ขอบอกว่าอย่าเพิ่งอิ่มเพราะที่พูดไปเป็นเพียงสตาร์ตเตอร์ แต่ยังมีเมนคอร์สจานเด็ดอีก 3 เมนู เริ่มที่ “ไก่ผัดกะลามะพร้าวอ่อนใบกระเพรา” รสชาติเผ็ดร้อนถึงขนาดที่ในเมนูให้ระดับความเผ็ดไว้ที่ช้าง 3 ตัวเลยทีเดียว

ไก่ผัดกะลามะพร้าวอ่อนใบกระเพรา

เมนูนี้ความพิเศษอยู่ที่การใช้วัตถุดิบพื้นบ้านอย่างกะลามะพร้าวอ่อน หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “หน่อกะลา” ซึ่งเป็นกะลามะพร้าวอ่อนๆ นั่นเอง โดยได้มาจากชุมชนบ้านตะเคียนเตี้ย จ.ชลบุรี นำมาผัดกับเครื่องแกงที่เต็มไปด้วยสมุนไพรหลากชนิด เด่นๆ เลยคือใบกระเพรา ขมิ้น พริกขี้หนู นอกจากนี้ยังมีรากผักชี ตะไคร้ กระเทียม ข่า หัวหอมแดง กระชาย พริกชี้ฟ้าแห้ง ผักชีใบเลื่อย เป็นต้น ผัดกับไก่บ้าน เนื้อติดหนังให้ความรู้สึกเหมือนกินอาหารป่า เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าวอ่อน ความเผ็ดร้อนผสมกับรสชาติเค็มนวลกลมกล่อม ได้รสอร่อยจนกินกับข้าวสวยแล้วไม่อยากวางช้อนเลย

จานถัดมานี่ดีงามและถูกอกถูกใจใครต่อใครได้ง่ายๆ คือ “แกงกะทิน้ำยาปลาหิมะกับข้าวปุ้น” หรือขนมจีนน้ำยากะทิปลาหิมะนั่นเอง ความน่าสนใจของเมนูนี้คือนอกจากจะใช้ปลาหิมะมาทำน้ำยากะทิสุดเข้มข้น รสชาติเค็มหวานกลมกล่อมแล้ว ยังมีปลาหิมะชุบไข่ทอดชิ้นกำลังดีเสิร์ฟมาในจานด้วย

แกงกะทิน้ำยาปลาหิมะกับข้าวปุ้น

ตัวเส้นขนมจีนก็มีความพิเศษ คือ ทำมาจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิค ให้สีม่วงอ่อนสวยงาม ตัวเส้นนุ่มกำลังดี ในจานยังเสิร์ฟหัวปลี และโรยหน้าด้วยใบแมงลัก ให้ความรู้สึกกินอาหารไทยพื้นบ้านจริงๆ

ความเก๋ของจานนี้ยังอยู่ที่การตกแต่งที่ใช้น้ำกะทิมาเข้าเครื่องตีจนขึ้นฟอง แล้วราดตกแต่งมาด้านบน เรียกได้ว่าเป็นไอเดียการตกแต่งที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

เมนคอร์สจานสุดท้ายคือเมนูโบราณอย่าง “แกงสิงหลเนื้อ” ซึ่งเป็นเมนูที่สันนิษฐานว่าเข้ามาในแผ่นดินสยามโดยชาวสิงหลที่อพยพมาจากประเทศศรีลังกา มาตั้งรกรากในไทยเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 2

แกงสิงหลเนื้อ

ความที่ว่าน่าจะมาจากศรีลังกาทำให้อาหารจานนี้รสชาติและกลิ่นออกแนวอาหารแขก ตัวน้ำแกงประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด เช่น อบเชย ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด, ขมิ้น และสมุนไพรอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นออร์แกนิค

ส่วนเนื้อวัวที่ใช้ในแกงสิงหล เป็นเนื้อวัวชั้นดีจาก จ.นครราชสีมา หั่นมาเป็นชิ้นพอดีคำ โดยใช้เวลาในการเคี่ยวเนื้อกับน้ำแกงถึง 2 ชั่วโมง ได้เนื้อไม่เปื่อยจนเกินไป มีรสสัมผัสให้ต้องเคี้ยว กินกับโรตีแป้งนุ่มที่เสิร์ฟมาด้วยก็เข้ากันดีทีเดียว

สาคูรังนกแปะก๊วย นมอัลมอนด์

ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานที่ดีต่อสุขภาพอย่าง “สาคูรังนกแปะก๊วย นมอัลมอนด์” ซึ่งนอกจากจะมีสาคูเม็ดใส รังนกชั้นดี แปะก๊วยทำดีไม่มีขม ยังมีเนื้อมะพร้าวอ่อนมาด้วย กินกับนมอัลมอนด์รสชาติไม่หวาน ออกนวลๆ กำลังดี ประโยชน์เพียบ ดีต่อคนทุกเพศทุกวัยเลย

สำหรับใครที่สนใจอยากชิมอาหารไทยโบราณ ปรุงด้วยความพิถีพิถันในเซตเมนู “Go Pink with Chef Nooror Menu 2018” ที่นอกจากจะอร่อย ดีต่อสุขภาพแล้ว ยังได้บุญไปด้วย สามารถแวะไปชิมกันได้ที่ร้านบลู เอเลเฟ่นท์ ติดบีทีเอสสุรศักดิ์ เฉพาะมื้อกลางวันและมื้อเย็น ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ตุลาคมนี้ ส่วนใครที่พลาดหรือไปไม่ทันในเดือนตุลาคมนี้ ภัตตาคารบลู เอเลเฟ่นท์ ยังคง 3 เมนู คือ แกงสิงหลเนื้อ, ไก่ผัดกะลามะพร้าวอ่อนใบกระเพรา และตำแก่นตะวันลูกยอกับกุ้งแม่น้ำย่าง ไว้ให้ได้ชิมกัน!