เรื่อง : ณัฐกานต์ สอนโยหา, ภาพ : ภัทรสุดา พิบูลย์

คงจะดีไม่น้อยถ้าสินค้าที่ผลิตเองกับมือเป็นที่ยอมรับและได้ส่งออกไปสู่สายตาของคนทั่วโลก แต่การที่จะพัฒนาแบรนด์ให้ก้าวไกลไปสู่ระดับสากลนั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาผลงานรวมถึงตัวของนักออกแบบเอง หรือแม้แต่การวางแผนการตลาด ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้แบรนด์สินค้ามีความแข็งแกร่งและมั่นคง

จะมีแนวทางการปฏิบัติอย่างไร ไปดูแนวคิดจากนักออกแบบทั้ง 4 ท่าน ในวงเสวนาเรื่อง “Innovative, Creativity Sparked Local to Global” ในงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก ปี 2562

วัสดุไทยน่าสนใจเพียบ

“เดชา อรรจนานันท์” เจ้าของแบรนด์ Thinkk Studio กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักออกแบบว่า ก่อนจะมาเป็นแบรนด์ Thinkk Studio ได้เป็นนักออกแบบตกแต่งภายในมาก่อน ด้วยความที่มีใจรักในการออกแบบผลิตสินค้าอยู่แล้ว และพบว่าเมืองไทยมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ค่อนข้างน่าสนใจ ผู้ประกอบการมีฝีมือ จึงเริ่มต้นศึกษาหาความรู้ และนำมาสร้างสรรค์ผลงานต้นแบบขึ้นมาเพื่อจัดแสดงและเข้าร่วมโครงการ Talent Thai & Designers’Room ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

“วัตถุดิบท้องถิ่นหลายอย่างในประเทศไทย ถ้ามีการผลักดันและยกระดับให้มีคุณค่า ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศและเรียกความสนใจจากชาวต่างชาติมากขึ้นกว่าเดิม การทำงานกับวัสดุจากธรรมชาติมักจะมีข้อจำกัดในเรื่องของคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากเป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งนวัตกรรมก็ได้เข้ามาช่วยจัดการปัญหาเหล่านี้ให้มีคุณภาพ และผสมผสานสิ่งต่างๆ เข้าไปได้ดียิ่งขึ้น” เดชากล่าว

“เวทีของประเทศถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก หากมีการเตรียมพร้อมก่อนที่โอกาสจะมาถึง ก็จะทำให้แบรนด์ไปได้ไกล ไปได้เร็วกว่าเดิม ส่วนผลงานของแบรนด์ Thinkk Studio จะมีอยู่ 2 อย่างคือ Design Studio และตัวงานหลักที่มีชื่อว่า Thinkk สามารถไปชมได้ที่ชั้น 3 ของห้างสรรพสินค้า siam discovery” เดชากล่าวทิ้งท้าย

ดึงเอกลักษณ์ไทยดีไซน์ให้ตรงกลุ่ม

ด้าน “กรกต อารมณ์ดี” เจ้าของแบรนด์ Korakot กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เป็นนักเรียนศิลปะมาก่อน ได้มีโอกาสได้เข้าไปทำงานเกี่ยวกับหัตถกรรมพื้นบ้าน จนทำให้เริ่มสนใจว่าวจุฬาปักเป้า ภายหลังจึงลองศึกษาเรื่องราวของว่าวจุฬาจากคุณปู่ และนำเทคนิคเหล่านั้นมาทำเป็นงานศิลปะ และประติมากรรม เนื่องจากมองว่าถ้าเป็นประติมากรรมอย่างเดียวอาจทำให้งานที่ทำเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันยากเกินไป จึงไปเข้าร่วมทำงานศิลปะตกแต่งอาคารสถานที่ และฝึกปรือฝีมือโดยการลงมือทำเองทุกอย่าง โดยจะนำงานหัตถกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่ง หลังจากนั้นก็ได้ส่งไปประกวดโครงการ Talent Thai ซึ่งถือเปนโอกาสที่ทำให้ประสบความสำเร็จจนมีวันนี้

“สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของประเทศไทยคือวัฒนธรรมของทั้ง 4 ภาค ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะเอกลักษณ์ของความเป็นภูธร ที่หยิบเอามาผสมผสานกับวิถีคนเมือง นับว่าเป็นอัตลักษณ์ของไทยที่มีความโดดเด่น และสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก” กรกตกล่าว และว่า ทุกแบรนด์ที่มาจากประเทศไทยมีโอกาสเติบโตแน่นอน เพราะประเทศไทยมีความแตกต่างจากประเทศอื่น เพียงแต่ต้องตั้งข้อสังเกตว่าสินค้าของแต่ละแบรนด์นั้นตรงกับคนกลุ่มไหน ก็จะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่ต้องการสินค้าได้มากขึ้น ถือเป็นการสร้างโอกาส และสร้างช่องทางการขายให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

“ข้อดีของการใช้นวัตกรรมเข้ามาในผลงานคือการทำงานต้องเปลี่ยนแปลงตามตลาดที่เปลี่ยนไป ดังนั้นจึงต้องใช้โลหะเข้ามาเกี่ยวข้องในงานด้วย รวมถึงต้องทำงานเป็นระบบ มีทีมทำงานอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นทีมวิศวกรหรือสถาปนิก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้การผลิตสินค้าสามารถก้าวไกลกว่าเดิม” กรกตกล่าวทิ้งท้าย

ให้แรงกดดันเวลาทำสิ่งที่ชอบเป็นตัวจุดประกาย

ขณะที่ “วิริยา เตชะไพฑูรย์” จากแบรนด์ QOYA กล่าวว่า ตนมีความสนใจทางด้านแฟชั่นอยู่แล้ว และมักจะตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เองเป็นประจำ หลังจากนั้นเริ่มมีเพื่อนสนใจและขอซื้อ จนกระทั่งมีรีสอร์ตมาติดต่อขอให้ออกแบบเสื้อผ้าเพื่อเอาไปวางในรีสอร์ต จึงนึกถึงจุดเด่นของประเทศไทยนั่นก็คือทะเลและภูเขา ภายหลังจึงคิดชื่อแบรนด์ ทำโลโก้ จนกระทั่งการทำออกมาจนแล้วเสร็จเป็นคอลเลกชั่นก็ได้ขายยกเซ็ทให้กับทางรีสอร์ต นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เลือกที่จะทำอาชีพนี้

“ก่อนหน้านี้ไม่เคยวางแผนและไม่เคยคิดว่าแบรนด์ของตนจะมีชื่อเสียง แต่การจุดประกายคือแรงกดดันในการทำงานจากสิ่งที่ชอบและอยากทำออกมาให้ดีที่สุด จนทำให้ค่อยๆ ตกผลึกในตัวเอง และโอกาสในการเติบโตก็เข้ามาหาตัวเราเองในที่สุด” วิริยาระบุ

วิริยายังกล่าวอีกว่า แบรนด์ QOYA เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และสามารถกันน้ำได้ ซึ่งถือเป็นเป็นนวัตกรรมในตัวดีไซเนอร์เองที่จะทำให้แบรนด์สามารถพัฒนาและไปรอดในอนาคต ซึ่งยุคนี้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับงานฝีมือมากขึ้น ประกอบกับการที่ประเทศไทยมีทรัพยากรที่สามารถเติบโตได้ที่ไทยแค่ที่เดียว ทำให้ชาวต่างชาติสนใจมากยิ่งขึ้น นั่นถือคือโอกาสที่ผู้ประกอบการหรือนักออกแบบทุกคนต้องคว้าไว้

“สิ่งสำคัญที่นักออกแบบควรทำ คือต้องปรับปรุงตัวเองและฝึกการขาย ฝึกการคำนวณต้นทุน กำไร และการฝึกทำงานฝึกเข้าสังคมด้วย ผลงานแบรนด์ QOYA จะมีการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ในเดือนหน้า โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูในอินสตาแกรมที่มีชื่อว่า qoya.vacation” วิริยากล่าวทิ้งท้าย

จะเป็นนักออกแบบ ต้องหาสิ่งที่ชอบให้เจอ

ปิดท้ายที่ “วลงค์กร เทียนเพิ่มพูน” เจ้าของแบรนด์ PATAPiAN กล่าวว่า การจะเป็นนักออกแบบ สิ่งแรกทุกคนต้องถามตัวเองคือชอบอะไร ซึ่งตนเรียนจบด้านกราฟิกดีไซน์ ชอบการทับซ้อนของเส้น และหลงใหลในเสน่ห์ของการจักสาน จึงได้เริ่มพัฒนาของที่มีอยู่ในประเทศเราให้เกิดความร่วมสมัยขึ้น

วลงค์กรกล่าวว่า การที่จะทำอะไรสักอย่าง ควรที่จะซื่อสัตย์กับตนเอง และหาสิ่งที่ชอบให้เจอ เพราะถ้ารักในสิ่งที่ทำ สิ่งนั้นย่อมออกมาดี ถ้าได้ตื่นขึ้นมาแล้วทำงานที่ชอบ ก็จะทำให้มีแพชชั่นในการทำงานในทุกๆ วัน

ถือเป็นพูดคุยที่ได้ประสบการณ์ดีๆ รวมถึงแนวคิดและแรงบันดาลใจของดีไซเนอร์ชื่อดังของทั้ง 4 แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ถ้ามีพรสวรรค์ในการทำผลงาน และมีพรแสวงในการพัฒนาสินค้า เชื่อว่าความสำเร็จคงรออยู่ไม่ไกลอย่างแน่นอน

วันที่ 14 มีนาคม 2562 กรมการค้าระหว่างประเทศ เปิดตัวโครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก ปี 2562 Designers’ Room & Talent Thai 2019 พร้อมเปิดรับสมัครนักออกแบบเข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ผู้ที่อยากเป็นนักออกแบบได้สมัครเข้าร่วมโครงการ เพื่อมุ่งพัฒนาขีดความสามารถให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

นางวรรณภรณ์ เกตุทัต รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยด้วยการสนับสนุนให้ความรู้ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถส่งออกไปจำหน่ายที่ต่างประเทศได้ ซึ่งกรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้เห็นความสำคัญ จึงอยากผลักดันให้มีการเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการออกแบบสินค้าที่เป็นวัตถุดิบจากท้องถิ่น เพื่อนำเสนอจุดเด่นของเมืองไทย

“ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ยังคงความเป็นไทยไว้ได้ จึงอยากให้นำจุดเด่นที่มีนำไปต่อยอดเพื่อให้เกิดแบรนด์สินค้า และส่งออกเพื่อสร้างรายได้ต่อไป” นางวรรณภรณ์กล่าว

น.ส.ประอรนุช ประนุช ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กล่าวว่า โครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลกได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 17 ปี ซึ่งแบ่งกลุ่มนักออกแบบออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ นักออกแบบที่มาจากโครงการ Designers’ Room มีนักออกแบบที่พัฒนาในโครงการแล้วจำนวน 243 แบรนด์ และ นักออกแบบในโครงการ Talent Thai ที่มีนักออกแบบที่พัฒนาในโครงการแล้ว 218 แบรนด์ รวมทั้งหมดแล้วมีนักออกแบบที่ได้รับการพัฒนาแล้วมากถึง 461 แบรนด์ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของนักออกแบบ และพัฒนาความรู้ความสามารถให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจ จนสามารถเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับนานาชาติ ตัวอย่างนักออกแบบที่ประสบความสำเร็จแล้วยกตัวอย่างเช่น แบรนด์ KORAKOT, Thinkk studio และ Q Design And Play เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีสินค้าจากแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จเข้าร่วมแสดงภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากแบรนด์ QOYA, PATAPiAN, Thinkk Studio, KORAKOT และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่เปิดให้ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และอยากจะสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง ได้นำเสนอสินค้าและพัฒนาให้สินค้าก้าวเข้าสู่ตลาดโลก โดยผู้ที่ต้องการสมัครเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 22 มีนาคม 2562 โดยเข้าไปกรอกใบสมัครออนไลน์ได้ที่เพจ Talent & Designers’ Room