ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์

ในฐานะที่เป็นนัก (อยากจะ) ชิมหน้าใหม่ในแวดวงอาหาร ฉบับนี้ขอใช้พื้นที่รำลึกถึงเรื่องราวนักชิมชื่อก้องของไทย “คุณชายถนัดศรี สวัสดิวัตน์” หม่อมราชวงศ์ผู้มีชีวิตดั่งนิยาย

ม.ร.ว.ถนัดศรี เริ่มจากเขียนคอลัมน์ “เชลล์ชวนชิม” นามปากกา ถนัดศอ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ สัปดาหวิจารณ์นับสิบปี ก่อนจะย้ายมาที่นิตยสารฟ้าเมืองไทย กระทั่งหยุดกิจการไป คุณขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ที่รู้จักมักคุ้นกันดี จึงได้เชื้อเชิญมาเขียนต่อที่มติชน สุดสัปดาห์

ในยุคสมัยนั้นเป้าหมายของการเขียนคอลัมน์ไม่ใช่การโฆษณาให้กับร้านอาหารเพียงอย่างเดียว

เรื่องนี้ “ศักดิชัย บำรุงพงศ์” นักการทูต นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นามปากกา “เสนีย์ เสาวพงศ์” เคยให้สัมภาษณ์มติชนรายวันครั้งที่คุณชายถนัดศรีได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติว่า ม.ร.ว.ถนัดศรีได้เขียนคอลัมน์ “เชลล์ชวนชิม” ลงในสยามรัฐ ซึ่งเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างมีความหมาย เพราะเป็นเรื่องของการกินดีอยู่ดี ไม่ใช่การโฆษณาให้ร้านอาหาร แต่ถือเป็นการดึงพ่อครัวแม่ครัวมาสู่สถานะทางสังคมที่ดีขึ้น

ส่วนพรสวรรค์ด้านอาหารของคุณชายถนัดศรีนั้น ถือว่าติดตัวมาตั้งแต่เกิด ด้วยชาติกำเนิดของคุณชายที่เกิดในวังเพชรบูรณ์ เติบโตที่วังสระปทุม และมีครอบครัวที่วังศุโขทัย มีหม่อมย่า (หม่อมลมุน) เป็นหัวหน้าห้องเครื่องของวังสระปทุม จึงเห็นมาตั้งแต่เล็ก รู้จักเครื่องเสวยมาดี

ม.ร.ว.ถนัดศรีให้สัมภาษณ์ “สกุณา ประยูรศุข” ไว้ที่หน้าประชาชื่น หนังสือพิมพ์มติชน เมื่อต้นปี 2552 บอกว่า ที่รู้ว่าอะไรอร่อย ไม่อร่อย เพราะเกิดในวัง อยู่ในวังเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อาหารคำแรกก็อยู่ในวัง เพราะฉะนั้นจะได้ลิ้มรสชาติอาหารไทยแท้ที่ถูกต้อง และที่สำคัญรู้วิธีทำด้วย

“เรื่องอาหารเราบอกได้ เพราะรู้หมด กินมาหมด และทำอาหารเป็น สมัยก่อนตอนอายุยังไม่มากขนาดนี้ ชอบกินข้าวมันไก่ที่สุด และเป็ดทุกชนิด เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง เป็ดปักกิ่ง และสเต๊ก เครื่องในกินเป็นหม้อๆ เป็นของชอบ เพราะฉะนั้นอาหารพวกเป็ดทั้งหลายแหล่ที่เป็นเชลล์ชวนชิมอร่อยทุกร้าน แต่พออายุมากหมอให้งดพวกสัตว์ปีก”

ขณะที่คำถามที่คนอยากรู้มากที่สุด หนีไม่พ้นอาหารชาววังต่างจากอาหารชาวบ้านอย่างไร คุณชายก็ตอบไว้ให้หลายเวที

ครั้งหนึ่งได้รับเชิญไปปาฐกถาเรื่องวัฒนธรรมอาหารในสังคมไทย ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ราวสิบปีที่แล้ว มีรายงานอยู่ใน “มติชน สุดสัปดาห์” โดย “ธนก บังผล” ตอนหนึ่งว่า

“ทีนี้จะพูดว่ารสชาติอาหารชาววังกับชาวบ้านนั้นผิดกันอย่างไร ขอเรียนว่า อาหารชาวบ้าน กับอาหารชาววังเหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่โบราณราชประเพณีมาจากพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน ที่ยังไม่มีทันตแพทย์ พระทนต์ก็ไม่ดี พอพระชนม์มากเข้าการจะเคี้ยวอะไรให้มันแหลกเป็นจุณมหาจุณก็ลำบาก ทางห้องเครื่องก็จะทำแต่สิ่งที่ไม่มีกระดูก ทำแต่เปื่อยๆ พระมหากษัตริย์สมัยก่อนไม่ได้เสวยผัดถั่วงอกหรอกครับ เพราะเขาถือว่าถั่วงอกเป็นของเลว”

คุณชายอธิบายไว้อีกว่า สำหรับอาหารที่เป็นชาววังนั้น มีข้อกำหนดอยู่ 3 อย่าง หนึ่ง จะต้องไม่มีเปลือก ตัวอย่าง ถ้าเป็นกุ้ง หัวไม่มี หางไม่มี เปลือกไม่มี ต้องมีแต่เนื้อกุ้งล้วนๆ สอง ไม่มีก้าง ปลาสลิดที่ตั้งเครื่องนั้นหาก้างไม่เจอ สามไม่มีกระดูก

“แล้วคุณหญิงชลมารค (หม่อมหลวงติ๋ว ชุมสาย) ท่านเคยเป็นนายห้องเครื่องของรัชกาลที่ 9 ผมก็เป็นคนที่เรียกว่าเห็นท่านเสวยแต่ของในวังน่าเบื่อหน่าย พระเจ้าอยู่หัว ร.9 นั้นท่านโปรดเสวยผัดถั่วงอก แต่ที่ห้องเครื่องทำไปนั้นมีถั่วงอกอยู่ประมาณ 4-5 เส้น แล้วก็เอาไปลวกน้ำก่อนเสียจนเปื่อย นอกนั้นมีหมู กุ้ง ไก่ ผมเห็นแล้วก็เกิดความสงสาร ยาจกสงสารเศรษฐี จนกระทั่งผมหาของต่างจากในวังให้ไปเสวย พวกบะหมี่ลูกชิ้นถนัดศรีอะไรพวกนี้ ก๋วยเตี๋ยวก็ยกหาบเข้าไปเลยจากบางลำพู ปรากฏว่าคุณหญิงชลมารคท่านบอกว่า คุณชายขา คุณชายนี่ถ้าเป็นสมัยก่อนยังมีบรรดาศักดิ์อยู่ คุณชายจะเป็นพระยานะคะ

“โอ้ ขอบคุณป้าติ๋ว แล้วราชทินนามผมจะมีว่ากระไรละ

“อ๋อ ง่ายเหลือเกินค่ะ พระยาโบราณทำลายราชประเพณี (ฮา)

“ท่านบอกว่ามีอย่างที่ไหนเอาบะหมี่ เอาก๋วยเตี๋ยวมาให้เจ้านายเสวย มันสกปรกออก ขายอยู่ตามข้างถนน ผมก็อดไม่ได้เลยบอกว่าเห็นเสวยตั้ง 2 ชามแน่ะ

“อาหารชาววังนี้ ที่เขาบอกว่าจะต้องหวานมันไม่จริง แล้วอาหารชาววังนั้นเหมือนกับอาหารชาวบ้านทุกอย่างเลย อย่างแถบนครปฐมมีแกงไก่ แกงแดงเขาสับกระดูกใส่ลงไปด้วย แทนที่เขาจะใส่แต่เนื้อไก่ กระดูกนั้นมันมี Marrow (ไขในกระดูก) ซึ่งเป็นของโอชะ เพราะฉะนั้นการที่เราจะต้มแล้วตักออกไป ไอ้ Marrow ที่อยู่ในกระดูกนั้นมันจะออกมาผสมกับน้ำแกง ทำให้เกิดความเอร็ดอร่อย อันนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน

“มีคนถามว่า เอ๊ะ แกงไก่ชาวบ้านทำไมเขาต้องสับทั้งกระดูก คำตอบก็คือ โคตรพ่อโคตรแม่ทำมาอย่างนี้ ผมก็บอกว่าทีหลังใครเขาถามก็ให้บอกว่าไขกระดูกมันออกมากับน้ำแกงถึงทำให้เอร็ดอร่อย เป็นอย่างนี้นะครับ”

อารมณ์ขันอันแพรวพราว คือ เสน่ห์ที่ทำให้คุณชายเป็นที่รักใคร่ของคนทุกกลุ่มทุกชนชั้น

“วสิษฐ เดชกุญชร” อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจผู้ล่วงลับ ในฐานะเคยเป็นนักเขียนร่วมสำนักที่ “สยามรัฐ” และเป็นนักแสดงละครเรื่องเดียวกันกับคุณชายถนัดศรี ได้เขียนถึงมิตรรักไว้ในมติชนรายวัน ครั้งที่คุณชายได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติตอนหนึ่งว่า

“ใครๆ เรียกเขาว่าหม่อมถนัดศรีบ้าง คุณชายบ้าง พี่หมึกบ้าง แต่ผมเรียก ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ว่า ‘ถนัดศรี’ และเขาก็เรียกผมว่า ‘วสิษฐ’ บางครั้งเขาเรียกผมว่า ‘พ่อหนู’ ตามลูกของผม

“ถนัดศรีแก่กว่าผมสองปี หากนับตามรุ่นการศึกษามหาวิทยาลัย เขาก็อยู่ในรุ่นพี่ผม แม้จะต่างมหาวิทยาลัยกัน ถนัดศรีเรียนธรรมศาสตร์ ส่วนผมเรียนจุฬาฯ แต่สำหรับผมหรือใครๆ ก็ตาม ถนัดศรีเป็นคนไม่มีรุ่น ความเป็นหม่อมราชวงศ์ของถนัดศรี ไม่เคยเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างถนัดศรีกับใครๆ จนทุกวันนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่รุ่นไหน คราวไหน ถ้าได้เข้าใกล้ถนัดศรี ทุกคนจะถูกดึงดูด และสนิทสนมกับถนัดศรีได้ภายในเวลาไม่กี่นาที”

นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเรื่องราวชีวิตของคุณชาย ยังมีอีกเป็นล้านเรื่องที่ล้วนมีสีสันทั้งเรื่องราวส่วนตัวและชีวิตการทำงานที่เป็นทั้งนักจัดรายการวิทยุ นักร้อง ศิลปินแห่งชาติ และบทบาทของนักชิมที่โด่งดังและมีมนต์ขลังมาอย่างยืนยาว ในนามของ “เชลล์ชวนชิม”

และด้วยคุณูปการอันมากมาย ทำให้ “ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์” เป็นที่เคารพรัก และจดจำในใจคนไทยไปอีกแสนนาน

ที่มาอาทิตย์สุขสรรค์ มติชนรายวัน
ผู้เขียนชม นำพา [email protected]

การจากไปของคุณชาย หรือ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ จะนำมาซึ่งความเสียใจของครอบครัว ญาติมิตร และแฟนคลับจำนวนมาก ทว่า โลโก้ความอร่อยยี่ห้อ ม.ร.ว.ถนัดศรี จะยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป เพราะเชื่อแน่ว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก “เชลล์ชวนชิม”

เป็นเหมือนกันไหม ถ้าร้านไหนมีป้าย“เชลล์ชวนชิม”หน้าร้าน มักจะทำให้คุณเชื่อมั่นว่าอร่อยและเดินเข้าไปฝากท้องโดยพลัน แบบไม่ต้องคิดมาก

“เชลล์ชวนชิม”เกิดขึ้นได้ยังไง เมื่อไหร่?

เชลล์ชวนชิม เกิดขึ้นเมื่อปี 2504 หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ทรงดำรงตำแหน่งผู้จัดการแผนกส่งเสริมการขายและการโฆษณาของบริษัทเชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด สมัยนั้นบริษัทเชลล์ฯ เพิ่งเริ่มจำหน่ายแก๊สหุงต้มในประเทศไทย ในขณะที่คนไทยยังคุ้นเคยกับการใช้ถ่านใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ในการหุงอาหาร

ท่านภีศเดชกับ ม.ร.ว.ถนัดศรี จึงปรึกษากัน เพื่อหาทางส่งเสริมการขาย โดยเห็นร่วมกันว่า ต้องเป็นเรื่องอาหารการกิน จากนั้นจึงมาคิดชื่อและโลโก้ ตอนแรกออกมาว่า “ชวนชิม” โดยท่านภีศเดชทรงเติม “เชลล์” เข้าไปข้างหน้า ออกมาเป็น “เชลล์ชวนชิม” โดย ม.ร.ว.ถนัดศรี เป็นผู้ชวนชิมและเขียนแนะนำ และมีบริษัทเชลล์ แห่งประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายตลอดรายการ

“เชลล์ชวนชิม” รักษานโยบายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นอย่างเคร่งครัดตลอดมา คือ แนะนำอาหารอร่อยได้มาตรฐาน บริการดี ไม่มีอันตรายต่อผู้บริโภค ไม่ติดเรื่องราคา จะถูกหรือแพงก็ได้ ขอให้อร่อย โดยการแนะนำฟรี ไม่มีการเรียกร้องค่าตอบแทนจากร้านอาหารแต่อย่างใด

คอลัมน์เชลล์ชวนชิม ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2504 ใช้นามปากกา “ถนัดศอ” เรื่องที่มาของนามปากกานั้น มาจากที่สมัยนั้นคุณประหยัด ศ.นาคะนาท เป็นบรรณาธิการอยู่ ขอให้คุณประมูล อุณหธูป นักเขียนชื่อดัง ตอนนั้นอยู่กองบก.ของสยามรัฐ ตั้งนามปากกาให้ คุณประมูลจึงตั้งให้ว่า “ถนัดศอ” เป็นการเลียนเสียงชื่อของคุณ “ประหยัด ศ.”นั่นเอง

โลโก้ของ “เชลล์ชวนชิม” ในยุคแรก เป็นรูปหอยเชลล์และเปลวแก๊สแลบออกมา ต่อมาในเดือนกันยายน 2525 ได้เปลี่ยนโลโก้เป็นรูปชามลายครามลายผักกาด โดยลายผักกาดหมายถึง อาหารการกิน ส่วนชามลายครามเป็นสัญลักษณ์ของความเก่าแก่ สูงค่า รวมความเป็นสัญลักษณ์แห่งการกินดีกินเป็น

คอลัมน์เชลล์ชวนชิม ตีพิมพ์ใน สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ต่อเนื่องมานานกว่า14ปี จึงย้ายไปตีพิมพ์ใน นิตยสารฟ้าเมืองไทย เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2518 และสุดท้าย ย้ายไปประจำอยู่ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ จนถึงตอนสุดท้ายเมื่อปลายเดือนมกราคม 2555

ตลอด50ปี “เชลล์ชวนชิม” โดย “ถนัดศอ” ได้สร้างคนให้เป็นเศรษฐีมากมาย นโยบายของเชลล์ชวนชิม คือ ให้แล้วให้เลย ไม่มีการกำหนดวันหมดอายุ หรือยึดคืนแต่อย่างใด ร้านไหนยังรักษาคุณภาพมาตรฐานความอร่อยไว้ได้ ลูกค้าก็ยังไปอุดหนุนกันคับคั่ง ส่วนร้านไหนเปลี่ยนเจ้าของเปลี่ยนมือคนทำ ฝีมือด้อยลงไป ลูกค้าไปแล้วไม่ประทับใจก็จะไม่ไปอีก เขาก็อยู่ไม่ได้ไปเอง

ภายหลังบริษัทเชลล์ฯไม่ได้จัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้แล้ว ก็จะไม่มีการแนะนำร้านเชลล์ชวนชิมเพิ่มอีก แต่ ม.ร.ว.ถนัดศรี ยังคงทำเรื่องของการชวนชิมต่อไป โดยใช้ชื่อ “ถนัดศรีชวนชิม” และตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์เหมือนเดิม โดยในช่วงแรกจะเป็นการทบทวนร้าน “เชลล์ชวนชิม” รุ่นเก่าๆที่ยังรักษาคุณภาพมาตรฐานไว้ให้ดี ให้ผู้อ่านทราบว่ามีร้านอร่อยๆที่ไหนบ้าง

แน่นอนว่า “ถนัดศรีชวนชิม” จะเน้นเรื่องรสชาติและคุณภาพของอาหารเป็นหลัก และไม่มีการเรียกเก็บเงินจากร้านค้าแต่อย่างใด เพราะมีผู้สนับสนุนออกเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานอยู่แล้ว คือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด(มหาชน) เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT เช่นเดียวกับ “เชลล์ชวนชิม”ที่มีบริษัทเชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด ให้การสนับสนุน

และแม้ว่าวันนี้จะสิ้นบุคคลสำคัญอย่างคุณชาย หรือ ม.ร.ว.ถนัดศรี แล้ว แต่ตำนาน “เชลล์ชวนชิม” “ถนัดศรีชวนชิม” และนามปากกา “ถนัดศอ”จะถูกจดจำตลอดไป

ของอร่อยที่จะชวนไปชิมในสัปดาห์นี้อยู่แถวๆ ถนนรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี ชื่อร้าน SAME SAME By Chef Bob เจ้าของร้านคือคุณอนันตยา ธัญญผล หรือคุณเอ็กซ์

เชฟใหญ่ของร้าน ชื่อเชฟบ๊อบ ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นสามีของคุณเอ็กซ์นั่นเอง เชฟบ๊อบมีชื่อจริงว่าคุณพงษ์ประพันธ์ นามภักดี เป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มทำงานในร้านอาหารมาตั้งแต่ตำแหน่งพนักงานล้างจาน

ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์การทำงานมาเรื่อยๆ มาเป็นผู้ช่วยเตรียมวัตถุดิบในร้านอาหารสไตล์อเมริกัน แล้วย้ายไปทำงานร้านอาหารอิตาเลียนในตำแหน่งผู้ช่วยกุ๊ก เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นกุ๊ก เป็นซูเชฟ จากนั้นมาเป็นเชฟ ประจำอยู่ที่ร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง นานถึงสิบสองปี

เมื่อมีโอกาสฤกษ์งามยามดี ในช่วงปลายปี พ.ศ.2561 จึงลาออกมาทำกิจการของตัวเองกับภรรยา โดยใช้ชื่อร้านว่า SAME SAME By Chef Bob

รายการอาหารของทางร้าน มีหลากหลาย ทั้งพิซซ่า สปาเกตตี สเต๊ก และกับข้าวแบบไทยๆ ถ้าได้เปิดเมนูดู จะเห็นว่ามีให้เลือกมากมาย สุดแท้แต่ใครจะชอบแนวไหน

ของอร่อยที่อยากชวนให้ลองชิม ได้แก่ พิซซ่าแป้งบางกรอบ มีให้เลือกหลายหน้า เช่น แซลมอนรมควัน แฮมชีส คาโบนาร่า ทะเล ไส้กรอกอิตาเลียน จะสั่งแบบสองหน้าในถาดเดียว เชฟก็จัดให้ได้

เปาะเปี๊ยะแฮมชีส ทอดมันกุ้ง ยำถั่วพูปูนิ่ม ยำมะเขือยาวทะเล หมูมะนาว ขาหมูเยอรมันทอด มันบดกับผักโขมเบคอนราดซอสเกรวี่ ปลาแซลมอนย่างซอสพริกไทยดำ สปาเกตตีปูนิ่มคั่วเกลือ ปลากะพงนึ่งผักน้ำพริก สะตอผัดกะปิกุ้ง ต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ ซี่โครงหมูนึ่งเต้าเจี้ยว ไข่ตุ๋นทะเลหม้อไฟ

ของหวานแนะนำ ไอศกรีมทีรามิสุ เครปซูเซทกับไอศกรีม พานาคอตต้า กล้วยอบน้ำผึ้งทอดกับซอสวานิลลา

เครื่องดื่ม มีน้ำมะพร้าวเกล็ดน้ำแข็ง น้ำส้มสด น้ำเสาวรส น้ำตะไคร้

2
4

SAME SAME By Chef Bob อยู่ใกล้สี่แยกท่าอิฐ-ไทรม้า ถ้าไปจากสี่แยกแคราย ข้ามสะพานพระนั่งเกล้า ลงสะพานไปแล้วใช้ช่องทางด้านซ้าย เพื่อเลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกท่าอิฐ ตรงเข้าไปนิดเดียว จะเห็นร้านอยู่ทางซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปจอดในลานจอดรถได้เลย

ที่นั่งในร้าน มีทั้งในห้องปรับอากาศ และบริเวณรับลมธรรมชาติใต้ร่มไม้

เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.00 น. ถึง 23.00 น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 09-7059-3653