จากกรณีข่าว หญิงสาวรายหนึ่งมีอาการ เหนื่อย เพลียหนัก พบไขมัน น้ำตาลในเลือดพุ่งปรี๊ด ต้นเหตุเพราะชานมไข่มุก! สร้างความตกใจให้กับสาวกชานมไข่มุกไม่น้อย

ล่าสุด เว็บไซต์ เครือข่ายคนไทยไร้พุง ได้เผยแพร่บทความให้ความรู้ เกี่ยวกับการทานชานมไข่มุกไว้ว่า

จากข่าวในอินเตอร์เน็ตในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นกระแสการพูดถึงเครื่องดื่มยอดฮิต อย่าง “ชานมไข่มุก” เชื่อได้ว่าหลายๆ คนคงทราบว่าชานมไข่มุกนั้น มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และบางแก้วมีน้ำตาลสูงมาก ข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จากการสำรวจปริมาณน้ำตาลในชานมไข่มุก 25 แก้ว พบว่ามีน้ำตาลเฉลี่ยประมาณ 10.5 ช้อนชา ซึ่งเกินกว่าปริมาณน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน  การกินชานมไข่มุกเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงได้ แถมถ้ากินทุกวันอาจมีโรคทรัพย์จางเพิ่มเข้ามาอีกโรคด้วยแน่ๆ

แล้วอย่างนี้ ควรเลิกกินชานมไข่มุกเลยดีไหม? แน่นอน สิ่งที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด คือ หยุดกินซะ แต่มันก็ทำใจได้ยากกกกกกเหลือเกินในการที่จะหยุดกินมัน วันนี้จึงขอเสนอ 8 วิธี ที่ทำให้ชานมไข่มุกยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตเราได้ แต่จะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายเรา ประกอบด้วย

1.สั่งหวานน้อย ด้วยตัวไข่มุกจะเป็นแป้งอยู่แล้ว แล้วถ้าเราเลือกไข่มุก Brown sugar ไม่ต้องพูดถึงน้ำตาลที่เยอะมากๆ การสั่งหวานน้อยจะช่วยลดปริมาณน้ำตาลลงได้ แถมลดพลังงานที่ได้รับลงด้วย

2.ลดไซซ์ หรือ ลดขนาดแก้ว การลดขนาดแก้ว ทำให้เราลดปริมาณน้ำตาลจากน้ำชา หรือน้ำหวานที่เราดื่มได้ แถมประหยัดเงินอีกด้วยนะ

3.เปลี่ยนไข่มุกจากแป้งเป็นไข่มุกที่ทำจากบุก แน่นอนว่า การเปลี่ยนประเภทไข่มุกจะทำให้เราได้รับพลังงานจากไข่มุกลดลง โดยไข่มุกแบบแป้งธรรมดาให้พลังงานมากกว่า 3 เท่าของไข่มุกแบบบุกในปริมาณที่เท่ากัน

4.จำกัดปริมาณการกิน ใน 1 สัปดาห์ไม่ควรกินเกิน 1-2 แก้ว แต่หากว่าเดิมเป็นคนที่ติดการกินชานมไข่มุกมากๆ ให้ค่อยๆ เริ่มปรับลดเหลือวันละไม่เกิน 1 แก้ว เมื่อทำได้แล้ว ก็ลองปรับเหลือสัปดาห์ละ 3-4 แก้ว แล้วค่อยๆ ลดลงตามลำดับ

5.ถ้ากินชานมไข่มุกแล้ว ไม่ควรกินน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้เพิ่มอีก เพราะการกินชานมไข่มุกทำให้เราได้รับน้ำตาลเกินในแต่ละวันอยู่แล้ว หากเราดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้เพิ่มอีก ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำตาลที่บริโภคต่อวันเพิ่มเข้าไปอีก

6.ไม่กินแทนอาหารมื้อหลัก ชานมไข่มุก เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี โดยหลายคนที่เลือกกินชานมไข่มุกอาจเลือกกินชานมไข่มุกแทนอาหารมื้อหลักไปเลย (คือกินแทนข้าว) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง!!! เนื่องจากจะทำให้ไม่อยู่ท้อง อิ่มแป๊บเดียวและไปหาอะไรกินอีก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการที่ได้รับพลังงานส่วนเกิน ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกกินชานมไข่มุกแทนอาหารมื้อหลัก เราขอแนะนำให้ทุกคนเลือกกินอาหารมื้อหลักตามแบบ 2:1:1 ให้อิ่มเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยถามตัวเองว่า ยังอยากกินชานมไข่มุกหรือไม่

7.ถามตัวเองว่า ที่กำลังจะซื้อชานมไข่มุก เพราะ กระหายน้ำ หรือแค่ว่า อยากกิน อาการกระหายแก้ง่ายๆ ได้โดยการดื่มน้ำเปล่าแช่เย็น หรืออาจจะเป็นผลไม้สดแช่เย็นก็ได้แถมยังดีต่อสุขภาพกว่าด้วย แต่ถ้าอยากก็กินเถอะ แต่กลับไปอ่านข้อ 1- 6 แล้วอย่างน้อยเลือกทำข้อใดข้อหนึ่งก็ได้

8.มีวิธีฮา ฮา ที่แชร์กันทางโซเชียล โดยหาสติ๊กเกอร์วงกลมสีดำมาแปะไว้ที่แก้ว แล้วหลอกตัวเองไปวันๆ ว่าได้กินชานมไข่มุกแล้ว ซึ่งอาจจะได้ผลในช่วงแรก วิธีที่ดีที่สุดคือการค่อยๆ ปรับลดลงตามที่กล่าวมา เพราะหากเราใช้วิธีหักดิบเลิกกิน กดความอยากเอาไว้ วันหนึ่งอาจทนไม่ไหว ระเบิดพฤติกรรมและสั่งชานมไข่มุกมากินครั้งเดียวหลายๆ แก้วเลยก็ได้

 

ที่มา : เครือข่ายคนไทยไร้พุง

ผู้เขียน : ปวีณา วงศ์อัยรา

ยุคนี้ อะไรๆ ก็ต้อง “ไข่มุก”

เพราะไม่ว่าจะก้าวเท้าไปในถนนย่านไหน ก็ต้องเห็นร้าน “ชานมไข่มุก” ให้สั่งดูดกันเพลินๆ สักร้าน

ยิ่งกับร้านที่มีคนไปเข้าคิวต่อแถวกันยาวเหยียด ยิ่งชวนพิสูจน์ความอร่อย ว่าสมกับคำเล่าลือหรือไม่

และ “ดิ แอลลี่” (The Alley) ก็เป็นร้านชานมน้องใหม่ ที่แม้จะเพิ่งเปิดตัวที่ สยามสแควร์วัน ชั้น 4 ได้ไม่กี่เดือน แต่ก็สร้างปรากฏการณ์ที่มีคนเข้าไปต่อคิวนับชั่วโมง จนกระทั่งสาขา 2 ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 6 ก็ยังคงแน่น เพื่อจะได้ลิ้มรสเครื่องดื่มจากแบรนด์

หลังเปิดตัวเมื่อปี 2013 แบรนด์ ดิ แอลลี่ กระจายสาขา ได้รับความนิยมมากถึง 13 ประเทศ ทั้ง แคนาดา สหรัฐ ญี่ปุ่น มาเลเซีย จีน ฝรั่งเศส และนิวซีแลนด์ สำหรับที่ไทยนั้น ยูกิ-อุณาวรรณ ตั้งคารวคุณ ประธานกรรมการบริหาร “ดิ แอลลี่ ประเทศไทย” เกิดความประทับใจกับเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง บราวน์ ชูก้า เดียร์ริโอก้า วิท เฟรช มิลค์ ระหว่างเดินทางไปประเทศจีน กับไข่มุกน้ำตาลทรายแดงที่ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่มี ปิ๊งไอเดีย นำเข้าไทย หวังให้คนไทยลองรสกลมกล่อม

หลังเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ร้านยังคงมีคนมาเข้าคิวยาว โดยเฉพาะช่วงกลางวันและเย็น เพื่อลองชิมไข่มุก ที่แบรนด์มีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า “เดียร์ริโอก้า” มาจากคำว่า เดียร์ กวางน้อยสัญลักษณ์ของร้าน ร่วมเข้ากันกับ ทาปิโอก้า ที่แปลว่า ไข่มุก

แน่นอนว่า บราวน์ ชูก้า เดียร์ริโอก้า วิท เฟรช มิลค์ หรือนมสด ไข่มุกน้ำตาลทรายแดง ยังคงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สุด ซึ่งเมนูนี้ร้านจะทำลวดลายศิลปะบนแก้ว ก่อนส่งตรงถึงมือลูกค้า ทางร้านยังแนะนำว่า “คำแรก” ที่ดูดปื้ดเข้าไปนั้นให้ชิมไข่มุกน้ำตาลทรายแดงอุ่นๆ ผ่านความเย็นของนมสด ให้ความแปลกใหม่ และหากอยากจะเปลี่ยนรสชาติ ก็ให้คนไข่มุกและนมสดไปทางขวา 9 ครั้ง ก็จะได้ความกลมกล่อมอีกแบบ

กว่าจะได้เมนูนี้ ชิว เม่า ทิง เจ้าของแบรนด์ ได้บินตรงมาเมืองไทย เพื่อทดลองชิมนมสดในไทยทั้งหมด เลือกจนได้แบรนด์ที่รสชาติไม่เข้มข้นเกินและไม่มีกลิ่นที่จะกลบความอร่อยไข่มุก เมื่อไม่เข้มข้นเกิน หากลูกค้าซื้อกลับบ้านไป 2 ชั่วโมงรสชาติก็ยังไม่เปลี่ยน

ขณะที่ เครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมรองลงมา ก็คือ รอยัล นัมเบอร์ 9 มิลค์ที ชาสูตรลับที่มีเฉพาะที่ร้าน ดิ แอลลี่ เท่านั้น เริ่มจากคัดใบชาคุณภาพดี บ่มกับส่วนผสมจนมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์


ซีเคร็ท การ์เด้นท์


บราวน์ ชูการ์ วิท เฟรช มิลค์

 

โดยทางร้าน ได้แบ่งซีรีส์เครื่องดื่มเป็น 6 รูปแบบ

เริ่มจาก บราวชูการ์ หรือไข่มุกน้ำตาลทรายแดง เลือกได้ทั้ง นมสด โกโก้ และมัทฉะ หรือหากอยากทานชานม ก็ต้องซีรีส์ มิลค์ ที ที่จะผสมชาและนม เชคให้พร้อมดื่ม ซีรีส์ต่อไปได้แก่ ลาเต้ ที่แบ่งชั้นเครื่องดื่มให้ เป็นนมสด ชา

สำหรับลูกค้าที่ชอบชาที่เบาๆ ข้ามมาที่ สเปเชียลตี้ ซีรีส์นี้ นำชา และผลไม้มารวมกันเป็นเมนูพิเศษ เช่น ชากับเสาวรส หรือนมกับมะนาว ที่เข้ากันอย่างไม่คาดคิด หรือจะเป็น บลู ที ซีรีส์ชาใส พิเศษทั้ง อู่หลง อัสสัมแบล็คที และน้องใหม่ โฮจิฉะ ลาเต้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดื่มตามเทศกาล ทั้งหมดเลือกใส่ท็อปปิ้งได้ทั้งไข่มุกเดียร์ริโอก้า, อะโลเวร่า, เรนโบว์ เยลลี่ และโคโค่นัท เยลลี่

เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเตรียมวัตถุดิบที่ใช้เวลานานกว่า 500 วัน ทั้งการเก็บเกี่ยวใบชาคัดพิเศษ ส่งตรงจากจีน ขณะที่ไข่มุกทั้งหมดนำเข้าจากไต้หวัน ขั้นต่อไปคือการต้มชา และไข่มุก ที่ต้ม 1 ครั้ง อยู่ได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะกับไข่มุกที่ครั้งหนึ่งใช้เวลาต้มกว่า 2 ชั่วโมง เป็นเหตุผลให้บางครั้งอาจจะต้องรอนานสักหน่อย

ต่อเนื่องด้วยขั้นต่อไปคือการชง ที่พนักงานเชคด้วยมือทุกแก้วไร้เครื่อง ส่งผลต่ออุณหภูมิแต่ละแก้วและความใส่ใจ นอกจากนี้ ทุก 3 เดือน มาสเตอร์ของแบรนด์จะบินตรงมาลองชิมรสชาของพนักงานทุกคน ว่าคงที่ไหม ทำให้รสชาติยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือปริมาณน้ำแข็ง ที่ดิ แอลลี่ จะไม่ใส่เยอะเกิน เพราะอยากให้ดูดหมดพร้อมกันทั้งน้ำ น้ำแข็ง และไข่มุก อีกทั้งความเย็นจัดมากๆ จะทำให้ไข่มุกแข็งได้

บวกกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ ที่ขายความเป็นไลฟ์สไตล์ ความสวยงาม ทั้งลวดลายบนแก้ว และการตกแต่งร้าน ที่จะไม่เหมือนชานมไข่มุกเจ้าอื่น ทำให้แบรนด์เป็นที่นิยมไปทั่วโลก

 


ที่มา คอลัมน์ อร่อยอินเทรนด์ มติชนรายวันหน้า 18