มะละกอผัดไข่

Recipes สูตรอาหาร

เมนูมะละกอแสนง่าย ถ้าให้ทำเป็นเมนูกับข้าวมื้อเช้าก็น่าสนใจเหมือนกัน ขอนำเสนอมะละกอผัดไข่ สูตรนี้เอาเส้นมะละกอไปแช่น้ำเย็นเพื่อความกรอบ ใส่กระเทียมลงไปผัดพร้อมกับไข่ ปรุงรสตามชอบ

ส่วนผสม

  • มะละกอสับ
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • ต้นหอมหั่นท่อน 1 ต้น
  • พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นเส้น
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

  1. นำมะละกอสับไปแช่น้ำเย็นเพื่อให้กรอบ เตรียมไว้
  2. เจียวกระเทียมกับน้ำมันพอหอม ตอกไข่ลงไปแล้วยีพอแตก ตามด้วยมะละกอ ผัดให้เข้ากันสักครู่
  3. ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทราย ผัดต่อให้เข้ากันจนไข่เคลือบเส้นมะละกอ จากนั้นโรยต้นหอม ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ตักใส่จาน

ที่มา : K@POOK!

เมนูเครื่องจิ้มเลิศรส หลนถั่วเน่า ตั้งกะทิพอเดือดใส่หมูสับ กุ้งสับ คนพอสุก ก่อนตามด้วยหอมแดง ปรุงรสถั่วเน่าปิ้งบดละเอียด น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ พอเดือดยกลงจัดเสิร์ฟพร้อมผักสด

ส่วนผสม

หมูสับ50 กรัม
กุ้งสับ100 กรัม
ถั่วเน่าปิ้งให้หอมบดให้ละเอียด1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียกคั้นข้นๆ2 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา2 ช้อนชา
กะทิ (เข้มข้นปานกลาง)1 1/4 ถ้วยตวง
หอมแดงซอย100 กรัม
พริกขี้หนูสวน15 กรัม
ผักสดตามชอบ เช่น ขมิ้นขาว ผักกาด ถั่วพู มะเขือ 3 สี

วิธีทำ

  1. นำกะทิใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดใส่หมูสับ กุ้งสับ คนพอสุก
  2. ใส่หอมแดง พริกขี้หนู ปรุงรสด้วยถั่วเน่า น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก น้ำปลา คนพอเข้ากัน พอเดือดยกลง
  3. ตักหลนถั่วเน่าใส่ภาชนะ จัดเสิร์ฟพร้อมผักสดตามชอบ

ที่มา : แม่บ้าน

อากาศประเทศไทยไม่ว่าจะฤดูไหนก็ร้อนเกือบตลอดเวลา หากได้เครื่องดื่มเย็น ๆ คงช่วยดับกระหายคลายร้อนกันไปได้บ้าง ด้วยอากาศที่แสนร้อนนี่เองที่ทำให้คนไทยนิยมดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ เพื่อคลายร้อน

สำหรับซัมเมอร์ที่กำลังมาถึง ซึ่งอากาศจะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก เราขอแนะนำเมนูเครื่องดื่มจาก 5 ประเทศที่สามารถทำดื่มเองได้ง่าย ๆ เพื่อเป็นอีกทางเลือกคลายร้อนในหน้าร้อนนี้ นอกจากคลายร้อนแล้วก็อาจจะชวนให้อยากไปเที่ยว ชวนให้คิดถึง หรืออาจจะช่วยให้คลายความอยากไปเที่ยว คลายความคิดถึงประเทศที่มาของเครื่องดื่มเหล่านี้ด้วยก็ได้

Sujeonggwa

Sujeonggwa หรือน้ำขิงอบเชย เป็นเครื่องดื่มพื้นบ้านของเกาหลีที่มีมาตั้งแต่โบราณ นิยมดื่มตอนท้ายของมื้ออาหาร สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณทางยามากมาย ช่วยเพิ่มความสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย แก้จุกเสียด แน่นท้อง และมีส่วนในการช่วยย่อยอาหาร

กรรมวิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด ส่วนผสมที่ใช้คือ อบเชย 3-5 แท่ง ขิงแก่ 1 หัวหั่นเป็นแว่น น้ำตาลทรายแดง 20 กรัม (หรือตามความชอบ) และน้ำเปล่า 500 มล. เมื่อเตรียมวัตถุดิบแล้วนำอบเชยกับขิงมาต้มรวมกัน เคี่ยวด้วยไฟปานกลางประมาณ 20-30 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงก็เป็นอันเสร็จ จากนั้นกรองเอากากออก หากดื่มแบบร้อนคนเกาหลีจะนิยมใส่ลูกพลับแห้งและโรยด้วยเมล็ดสน หรือจะเทใส่ขวดแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่ม ก็จะให้ความรู้สึกสดชื่นไปอีกแบบ

Es Kelapa Muda

Es Kelapa Muda เครื่องดื่มที่ทำจากน้ำมะพร้าว เมนูเครื่องดื่มริมชายหาดยอดนิยมในประเทศเขตร้อน เป็นเมนูที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ไม่ว่าคนในท้องถิ่นหรือนักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบเมนูนี้ ถ้าจะทำดื่มเอง ก็ทำได้ไม่ยาก เพียงนำน้ำมะพร้าวผสมกับไซรัปสูตรเฉพาะของบาหลี หรืออาจจะใช้ไซรัปทั่วไปที่มีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตแทน ตามระดับความหวานที่ต้องการ และใส่เนื้อมะพร้าวตามลงไป หากนำไปแช่เย็นก่อนดื่ม ก็จะยิ่งเพิ่มความสดชื่นขึ้นไปอีก

มาเติมพลังด้วยมื้ออร่อยกับ สูตรไข่อบรวมมิตร ทำง่าย อร่อยได้โปรตีนเต็มๆ จากวัตถุดิบมากประโยชน์อย่าง ไข่ไก่ มะเขือเทศเชอร์รี่ และ ผักโขม ลองมาทำดูกันเลย

ส่วนผสม

  • ไข่ไก่ 8-10 ฟอง
  • เนื้อหมูบด 400 กรัม
  • ผักโขม 2 ถ้วย
  • หอมหัวใหญ่สับ 1 หัว
  • พริกหวานหั่นเต๋า ¾ ถ้วย
  • มันฝรั่งขูด 1-2 หัว
  • มะเขือเทศเชอร์รี่ 10-12 ลูก
  • นมสด ½ ถ้วย
  • น้ำมันพืช
  • เกลือ
  • พริกไทย

วิธีทำ

  1. เทน้ำมันพืชเล็กน้อยใส่กระทะ รอจนร้อนใส่เนื้อหมูลงไปผัดจนสุก ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย
  2. ผสมเนื้อหมูที่สุกแล้ว กับผักทั้งหมดคนให้เข้ากัน
  3. ผสมไข่ไก่ กับ นมสด ตีให้เข้ากัน
  4. เทลงไปผสมกับส่วนผสมเนื้อหมู ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย เทใส่ชามอบ
  5. นำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนสุก นำออกมาวางพักให้เย็นแล้วค่อยนำไปแช่เย็น

เคล็ดลับความอร่อย

  • สามารถเปลี่ยนจากเนื้อหมูเป็น ไก่บด หรือ ไส้กรอกแทนได้
  • ถ้าใช้เนื้อปลาไม่จำเป็นต้องทำให้สุกก่อน แต่ถ้าใช้ปลากระป๋องควรเลือกใช้เนื้อปลาในน้ำแร่

ที่มา : Sanook

ข้าวฟ่าง ธัญพืชที่ถูกนำมาปรุงแต่งให้เป็นขนมหวานอย่างไทย อุดมด้วยแมกนีเซียมและไฟเบอร์สูง ธัญพืชนาดจิ๋วนี้เมื่อเติมความหวาน ตัดรสเค็มนิดๆ จากน้ำกะทิสด อร่อยแบบแทบไม่ต้องเคี้ยวกันเลย แต่ปัจจุบันใช่ว่าร้านขนมไทยจะมีขนมข้าวฟ่างขายทุกร้าน พออยากกินขึ้นมาไปหาร้านก็เจอแต่ขนมชนิดอื่น คราวนี้เราเลยอยากแนะนำวิธีทำขนมข้าวฟ่างในแบบที่ทำง่ายด้วยไม่กี่ขั้นตอน

วัตถุดิบ

  • เมล็ดข้าวฟ่าง  1 ส่วน
  • น้ำตาลทราย 2 ส่วน
  • น้ำเปล่า 3 ส่วน
  • แป้งมัน ¼ ส่วน
  • น้ำกะทิคั้นสดและเกลือ ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

  1. เริ่มจากล้างทำความสะอาดเมล็ดข้าวฟ่างจนกว่าน้ำจะใส
  2. นำไปตั้งไฟเทน้ำเปล่าลงไป เมื่อน้ำเดือดหมั่นคนเพื่อไม่ให้ข้าวฟ่างไหม้ติดก้นหม้อ คนไปเรื่อยๆ จนข้าวฟ่างสุกพองจนอิ่มตัว จากนั้นจึงใส่น้ำตาลลงไป (ชิมรสให้ได้ความหวานตามที่ต้องการ) เมื่อคนจนเข้ากันดี ให้ละลายแป้งมันแล้วค่อยๆ เท และคนให้ทั่ว จากนั้นปิดไฟ
  3. คั้นน้ำกะทิสด เราคั้นจากมะพร้าวขูดเองเลยค่ะ หากใครไม่สะดวกซื้อกะทิสดในตลาดได้เลย คั้นเสร็จแล้วไม่ต้องตั้งไฟใดๆ เพียงผสมเกลือป่น ให้ได้รสเค็มเพื่อตัดกับรสหวานของข้าวฟ่างเปียกที่ทำเตรียมไว้ พร้อมลิ้มรสเมื่อไหร่นำมาราดผสมตามปริมาณที่ต้องการ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสรรพ

ขนมข้าวฟ่าง พร้อมรับประทานแล้วค่ะ หวานมันอย่างขนมโบราณของไทยที่หารับประทานไม่ได้ง่ายๆ แต่หากได้ลองลิ้มชิมรสแล้วคงติดใจ ได้ไม่ยาก!

ที่มา : Sanook

ขนมปังกรอบ ของว่างที่ทำให้ใครหลายคนกินแล้วหยุดไม่ได้ แถมทำได้ง่ายๆ เพียงใช้ขนมปังแผ่นทาเนยโรยน้ำตาล เข้าเตาอบไม่นานก็ได้กินเพลินๆ กับเครื่องดื่มที่ชอบ วันนี้เราอยากชวนมาลองทำขนมปังอบกรอบ จากขนมปังโฮลวีทกันบ้าง ทำง่าย โดยไม่ต้องใช้เตาอบอีกต่างหาก ใช้ไมโครเวฟที่มีกันอยู่ทุกบ้านได้เลย

วัตถุดิบ ปังกรอบโฮลวีท

  • เนยรสเค็ม 25 กรัม
  • น้ำตาล  2 ช้อนโต๊ะ
  • ขนมปังโฮลวีท 1 แถว (ใหญ่)

วิธีทำ ปังกรอบโฮลวีท

  1. รีดขนมปังให้บางแน่น แล้วหั่นขอบขนมปังและหั่นครึ่ง
  2. เรียงใส่ถาด นำเข้าไมโครเวฟเพื่อไล่ความชื้นก่อน โดยตั้งไฟกลาง (Medium) เวลา 1.30 นาที จากนั้นนำออกมาพักไว้ให้เย็น
  3. กรณีที่ไม่ต้องการรีดบาง สามารถหั่นครึ่งอย่างเดียวก็ได้นะคะ แต่ต้องนำเข้าไมโครเวฟเช่นเดียวกับข้อ 2 เพื่อไล่ความชื้น 2 ครั้ง โดยพักให้เย็น แล้วกลับอีกด้านหนึ่งเข้าไมโครเวฟอีกครั้ง
  4. ผสมเนยกับน้ำตาล ผสมให้เข้ากัน แต่ไม่ต้องถึงกับให้น้ำตาลละลายนะคะ ให้คงเม็ดทรายอยู่ในเนื้อเนยค่ะ
  5. ทาลงขนมปังที่อบไล่ความชื้น แล้วนำเข้าไมโครเวฟ โดยตั้งไฟกลาง (Medium) เวลา 1.30 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ

ที่มา : Sanook

เคยมีคนกล่าวเอาไว้ว่า คนเรานั้นมีอยู่ 2 กระเพาะ คือกระเพาะของคาว และกระเพาะของหวาน เพราะต่อให้กินอาหารคาวอิ่มแล้ว กระเพาะของหวานก็ยังว่าง กินนั่นกินนี่ได้อยู่ เหมือนเป็นคำกล่าวประชด แต่จริงๆ แล้วก็มีหลักทางวิทยาศาสตร์อ้างอิงคำกล่าวนี้อยู่นะเออ

เวลาที่เราเห็นขนมหวานหน้าตาน่ารับประทานแล้วเกิดอาการลืมตัวว่ากินอิ่มไปแล้วนั้น เป็นเพราะว่าต่อมใต้สมองเราหลั่งสารอัลฟาเอนโดรฟีน ส่งไปยังกระเพาะอาหารว่าเราอยากกินอันนี้อีก กระเพาะของเราก็ตอบรับคำสั่งโดยการสร้างสารออริซิน กระตุ้นให้กระเพาะช่วงล่างบีบตัวเพื่อขนย้ายอาหารที่เราเพิ่งกินอิ่มก่อนหน้านี้ไปยังลำไส้ใหญ่ ทำให้กระเพาะเรายังเหลือพื้นที่อีกนิดไว้กินของหวาน

แต่ในช่วงเวลาที่หลายๆ คนกักตัวอยู่บ้านแบบนี้ จะออกไปคาเฟ่หรือไปร้านเค้กก็ลำบากใช่ไหมหล่ะ? มาพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการเข้าครัวทำกินเองซะเลย ใส่ครีมใส่เนยที่ชอบได้ไม่อั้น แถมราคาประหยัดและไม่เสี่ยงต่อการออกไปรับเชื้อนอกบ้านด้วยค่ะ

สูตรบลูเบอร์รี่ชีสพายสไตล์แม่บ้านมือใหม่

บลูเบอร์รีชีสพายวันนี้เป็นสูตรไม่ง้อเตาอบค่ะ แม้แต่คนที่ไม่เคยเข้าครัวก็ลองทำทานเองได้ไม่ยาก ในครั้งนี้ผู้เขียนใช้บลูเบอร์รี่สดๆ จากไร่ในเขตโยอิจิ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกองุ่น และเป็นที่ตั้งของไร่ไวน์และโรงกลั่นวิสกี้ที่มีชื่อเสียงของฮอกไกโด อย่าง Nikka นั่นเองค่ะ

ส่วนผสมฐาน
แครกเกอร์ ตรา Ritz 31 แผ่น
เนยละลาย 70 กรัม

ส่วนผสมเนื้อมูส
ครีมชีสฟิลาเดเฟีย 200 กรัม
วิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร
น้ำเลม่อน 20 มิลลิลิตร
เจลาติน 5 กรัม
น้ำเปล่า 20 มิลลิลิตร
นมข้น
ไข่ไก่ (แยกเอาแต่ไข่แดง) 2 ฟอง

ส่วนผสมซอสบลูเบอร์รี่
แยมบลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่สด
น้ำเปล่า

วิธีทำ

  1. นำแครกเกอร์ใส่ถุงซิปล็อค บดให้ละเอียด
  2. นำเนยไปละลายในไมโครเวฟ 600 วัตต์ 10-20 วินาที (ผู้เขียนใช้เนยยี่ห้อ Trappist ของฮอกไกโด เป็นเนยที่หอมมันมากๆ)
  3. ทาเนยให้ทั่วพิมพ์ทำทาร์ตแบบถอดก้นได้
  4. กรุพิมพ์ด้วยแครกเกอร์คลุกเนย ใช้ด้านหลังของช้อนกดให้แน่น แล้วนำฐานที่กรุเรียบร้อยแล้วไปแช่เย็นประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้ฐานเซ็ตตัว
  5. ตีไข่แดงในอ่างผสมให้เข้ากัน
  6. ตามด้วยครีมชีส
  7. ผสมน้ำเปล่ากับเจลาติน รอให้เจลาตินดูดซึมน้ำให้หมด แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 600 วัตต์ นาน 30 วินาที แล้วเติมเจลาติน น้ำเลม่อน วิปปิ้งครีม และนมข้นลงไปในอ่างผสม ตีด้วยตะกร้อมือหรือตะกร้อไฟฟ้าให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสเปรี้ยวหวานตามต้องการ
  8. เทมูสที่ทำไว้ลงในฐานที่แข็งตัวแล้วเกลี่ยให้เข้ากัน หรือถ้าใครไม่มีพิมพ์แบบถอดก้น ทำใส่แก้วเล็กๆ ก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นแบบแก้วไม่ต้องรอให้ฐานเซ็ตตัว ตักมูสที่ผสมไว้ลงไปได้เลย
  9. นำมูสที่เทลงในพิมพ์คลุมพลาสติกแล้วนำไปแช่เย็นประมาณ 1 ชม.
  10. แต่งหน้าด้วยซอสบลูเบอร์รี่ โดยนำบลูเบอร์รี่สดไปเคี่ยวน้ำเปล่าและแยมบลูเบอร์รี่ ตกแต่งด้วยวิปครีม เลม่อน และใบพาร์สลี่ย์
  11. ถ้าใช้พิมพ์แบบถอดได้ให้ดันก้นพิมพ์ขึ้นมาเพื่อถอดพายออกจากทาร์ต แล้วหั่นรับประทานเป็นชิ้นเล็กๆ หรือถ้าใช้แบบแก้วก็เสิร์ฟเป็นแก้วไปเลยไม่ยุ่งยาก

เคล็ด (ไม่ลับ) ฉบับแม่บ้าน

  • ใช้แครกเกอร์ยี่ห้อ Ritz เพราะเนื้อแห้งและเบา บดง่ายดีค่ะ
  • ถ้าชอบมูสเนื้อละเอียด หลังจากตีส่วนผสมให้เข้ากันด้วยตะกร้อไฟฟ้าแล้ว ให้ตีด้วยตะกร้อมือซ้ำอีกรอบ จะได้เนื้อมูสที่ฟู เนียน นุ่ม
  • เจลาตินเวลาเอาไปเวฟให้ใช้แผ่นแรปพลาสติกคลุมด้วย ไม่งั้นเจลาตินจะแห้ง
  • เลม่อนที่ขายในฮอกไกโดส่วนใหญ่มาจากประเทศชิลีค่ะ ลูกละ 170-180 เยน เปลือกหนาและมีรสเปรี้ยว ผู้เขียนจึงเลือกใช้มะนาวที่ปลูกในญี่ปุ่นแทน ราคาแพงกว่า ประมาณลูกละ 270-280 เยน แต่ว่าเปลือกบาง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แถมมีกลิ่นหอมกว่าเลม่อนจากชิลีด้วยค่ะ
  • วิธีถอดเค้กออกจากพิมพ์ ทำได้ง่ายๆ โดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เวฟ 20 วินาที แล้วค่อยๆ ประคบรอบพิมพ์สแตนเลส ให้เนยละลาย แล้วค่อยๆ ดันออกจากพิมพ์

ที่มา : Sanook

หมูยอ มักถูกนำมาทอดหรือยำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหมูยอคุณภาพดีทำแค่นี้ก็อร่อยแล้วจริงๆ แต่จะทำอย่างไรในเมื่ออยากลองทำเมนูอื่นๆ บ้าง แบบที่รับประทานได้ทั้งบ้าน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ครั้งนี้จึงขอนำเสนอเมนูหมูยอผัดซอส จานโปรดของหลานๆ ที่กินกันตั้งแต่เล็กจนโต แถมทำง่ายสุดๆ

วัตถุดิบ หมูยอผัดซอส (สำหรับ 1 จาน)

  • หมูยอ 150 กรัม
  • ไส้กรอก 100 กรัม (ไม่ใส่ก็ได้นะคะ แต่ที่บ้านมีเด็กๆ ชอบแบบใส่ไส้กรอกด้วยค่ะ)
  • หอมใหญ่ 1 หัว
  • แครอท 1/2 หัว
  • ต้นหอม 2 ต้น
  • ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาล (ตามชอบ)
  • เกลือป่นเล็กน้อย

วิธีทำ หมูยอผัดซอส

  1. ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำหมูยอและไส้กรอกที่หั่นเตรียมไว้ลงไปผัดในน้ำมันจนสุก
  2. ใส่หอมและแครอทหั่นเต๋าลงไปผัด ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำตาลและเกลือ
  3. ผัดให้เข้ากันโดยไม่ต้องเติมน้ำ จนแครอทสุก
  4. ใส่ต้นหอมซอยลงไป ดับไฟ ผัดอีกนิด แล้วตักใส่จานได้เลย

ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ถ้าบ้านไหนมีเด็กน้อย ปรับเปลี่ยนเป็นใช้แต่ไส้กรอก และตัดซอสพริกออกได้เลยนะคะ เพราะในหมูยอมีพริกไทย จะได้ตัดรสเผ็ดออกไป ส่วนซอสมะเขือเทศเด็กๆ คงไม่ปฏิเสธ แต่คงต้องมาลุ้นอีกทีนะคะว่าเด็กๆ บ้านไหนจะกินผักหอมใหญ่และแครอทบ้างน้อออ

ที่มา : Sanook

สำหรับใครที่อาศัยอยู่ในหอพักหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด การหุงข้าวด้วยไมโครเวฟ หรือหม้อหุงถือเป็นวิธีที่ใช้กันเป็นประจำ วันนี้เราจึงมาพร้อมกับเทคนิคในการหุง “ข้าวเหนียวใบเตย” ที่สะดวก รวดเร็ว และเหนียวนุ่มอร่อย เก็บไว้ทานคู่กับหมูทอดร้อนๆ หรือเมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน

วิธีหุงข้าวเหนียวใบเตย ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ มาจากคุณ beemyhoney ที่ใช้อุปกรณ์เพียงสองอย่าง แค่ผ้าขาวบางและหม้อหุงข้าว แถมใช้เวลาเพียง 15 นาที ไม่มีปัญหาเรื่องข้าวไหม้ติดหม้อแน่นอนค่ะ ขั้นตอนจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามกันได้เลย

วิธีทำ

  1. จัดเตรียมใบเตย 4-5 ใบ นำมาปั่นคั้นน้ำใบเตย
  2. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 ถ้วย 250 กรัม ล้างน้ำ 2 ครั้งให้เม็ดข้าวสะอาดใส
  3. เคล็ดลับง่ายๆ คือ การรองก้นหม้อด้วยผ้าขาวบาง เพราะจะทำให้ข้าวเหนียวไม่ติดหม้อ และช่วยเก็บความชื้นให้ข้าวเหนียวนุ่มนิ่มอร่อยน่าทานตลอดวัน
  4. นำไปหุงในหม้อหุงข้าว 15 นาที เมื่อข้าวสุกก็จะได้ข้าวเหนียวใบเตยหอมๆ สีสวยๆ นุ่มน่าทานมาก ทานกับหมูทอดอร่อยมากค่ะ

ที่มา : beemyhoney, Youtube Channel : ครัวแม่ผึ้ง Bee happy kitchen, Facebook : ครัวแม่ผึ้ง Bee happy kitchen

แจกสูตร ไอศกรีมนมสดผักปลังแดง ของหวานคลายร้อนจากสมุนไพร

ประเทศไทย เริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนอย่างเป็นทางการกันแล้ว วันนี้แอดเลยนำสูตร ของหวานคลายร้อนอย่าง ไอศกรีม จากอภัยภูเบศร มาฝากทุกคนกัน

โดยไอศกรีมนี้เป็นไอศกรีมนมสดที่ทำมาจากสมุนไพรรสเย็นจืดอย่าง ผักปลังแดง ซึ่งถือเป็นผักที่มีวิตามินเอ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน บำรุงสายตา บำรุงเลือด

นอกจากนั้นยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยบำรุงร่างกาย ลดความดันโลหิต ทำให้เจริญอาหาร และหมอยายังบอกอีกว่า ผักปลัง เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติถ่ายความร้อน ใช้รักษามะเร็งลำไส้ ทำให้ลำไส้เดินดี เมือกของผักปลังช่วยล้างลำไส้ ซึ่งไม่ว่าจะปลังขาวหรือปลังแดง ก็สามารถใช้ประโยชน์ทางยาได้เหมือนกัน

โดยสูตรของไอศกรีมนมสดผักปลังแดง มีดังนี้

วัตถุดิบ

  • น้ำคั้นเมล็ดผักปลัง 750 กรัม
  • นมสด 1,000 กรัม
  • กะทิสด 500 กรัม
  • น้ำตาลทราย 300 กรัม
  • สารละลายกัวกัม 250 กรัม
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. คั้นน้ำจากเมล็ดปลังแดงสุก

2. จากนั้นนำวัตถุดิบต่างๆ ปั่นเข้าด้วยกัน

3. เทส่วนผสมที่ปั่นเรียบร้อยแล้ว ลงในถังปั่นไอศกรีมหรือเครื่องปั่นไอศกรีมโฮมเมด โดยปั่นต่อเนื่องกันเป็นเวลา 30-40 นาที

4. เทไอศกรีมที่ได้ใส่ถัง แล้วนำไปแช่ให้แข็งประมาณ 2 ชั่วโมง เท่านี้เป็นอันเสร็จ

ที่มา : เส้นทางเศรษฐีออนไลน์