เลม่อนกับมะนาวเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่สุดแสนจะสำคัญในการทำอาหารเลยก็ว่าได้ ด้วยรสชาติเปรี้ยวที่กินแล้วรู้สึกสดชื่น จนเป็นส่วนผสมหนึ่งที่มักจะใส่เมนูอาหารหลายชนิด

หลายคนอาจจะเป็นเหมือนกันคือ มะนาวที่ซื้อมาบางครั้งก็น้ำน้อย บางครั้งก็เป็นมะนาวแข็งๆ บีบยาก ทำให้ต้องใช้มะนาวหลายลูก ถ้าเป็นช่วงที่มะนาวถูกก็คงจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นช่วงมะนาวแพงก็คงจะไม่ไหว อยากจะกินน้ำมะนาวให้ชื่นใจหรือบีบมะนาวใส่ต้มยำให้แซ่บๆ ก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก

การจะบีบมะนาวให้ได้น้ำ วิธีแบบไทยๆ ของเราก็คงนวดๆ คลึงๆ ลูกมะนาวก่อนแล้วค่อยหั่นแล้วบีบ แต่ต่างประเทศเขาก็มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้มะนาวมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นิตยสาร Good Housekeeping สหราชอาณาจักร เผยทริคเล็กๆ น้อยๆ ไว้ว่า วิธีการที่จะได้น้ำมะนาวมากขึ้นก็คือ “การนำเข้าไมโครเวฟ” โดยโมนาซ ดูมาเซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงอาหาร กล่าวกับนิตยสารดังกล่าวว่า การนำมะนาวหรือเลม่อนเข้าไมโครเวฟ 20 วินาที ก่อนจะนำมาหั่นและบีบ ซึ่งการนำเข้าไมโครเวฟก่อนจะทำให้มะนาวคลายตัวและทำให้มีน้ำออกมามากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้มะนาวนุ่มขึ้น ทำให้ง่ายต่อการบีบ ดังนั้น นี่จะเป็นวิธีที่ทำให้คุณไม่ต้องรู้สึกว่าการบีบมะนาวเพื่อให้ได้น้ำหยดสุดท้ายเป็นเรื่องแสนยากเย็น

แมรี่ เบอร์รี่ ผู้ทดลองใช้วิธีดังกล่าว ระบุว่า เธอได้ทดลองนำมะนาวเข้าไมโครเวฟ 20 วินาที ก่อนจะนำไปหั่นและบีบ ซึ่งพอนำออกมาแล้วพบว่าการบีบน้ำมะนาวทำได้งายขึ้น ใช้แรงน้อยลง โดยยังได้น้ำมะนาวมากกว่า 3 ช้อนโต๊ะ ขณะที่การบีบมะนาวแช่เย็นธรรมดาได้น้ำเพียง 2 ช้อนโต๊ะเท่านั้น

ถือเป็นทริคเล็กๆ น้อยๆ ที่ลองนำไปใช้กันได้!

ที่มา หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน
ผู้เขียน พนิดา สงวนเสรีวานิช

เสียงเพลงบุพเพสันนิวาส ที่ขับร้องโดย ไอซ์-ศรัณยู ดังกระหึ่มไปทั่วคุ้งน้ำวัดไชยวัฒนาราม ปลุกบรรยากาศการท่องเที่ยวเมืองกรุงเก่าให้ดูขลังยิ่งขึ้น

ราวกับต้องมนต์กฤษณะกาลี ภาพของออเจ้าทั้งหลายชาย-หญิง ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ตรงหน้า แต่งกายด้วยชุดไทยกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่โบราณสถาน เป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงกระแสของละครย้อนยุคเรื่องนี้ที่สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง

ที่สำคัญคือ เป็นอานิสงส์ให้กับเศรษฐกิจโดยรอบสะพัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เพียงการค้าขายอาหาร-เครื่องดื่ม ยังรวมกิจการให้เช่าชุดไทย พร้อมแต่งหน้าทำผม

ชุดออเจ้า ผู้ใหญ่ 250 บาท เด็ก 200 บาท สนนราคานี้รวมทั้งเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ หรือจะเป็นพัดก็มีให้บริการพร้อมสรรพ

ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่วัดไชยวัฒนารามในวันธรรมดาเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยเป็นหลักพันคน ยิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ พุ่งทะยานขึ้นเป็นหลักหมื่นคน ทำให้ต้องมีการขยายเวลาเข้าชม (ตั้งแต่ 8 โมงเช้า) จากที่เคยปิดบริการ 1 ทุ่ม เป็น 3 ทุ่ม

ไม่ต่างจากที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ที่นี่เป็นฉากภายในห้องเรียนคณะโบราณคดีของเกศสุรางค์และเพื่อนสนิท-เรืองฤทธิ์


ศาลิสา จินดาวงษ์ ผอ.พิพิธภัณฑ์ เจ้าสามพระยา

ศาลิสา จินดาวงษ์ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานเจ้าสามพระยา บอกว่ากระแสของละครย้อนยุคเรื่องนี้ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จากสถิติ 6 เดือนก่อนออนแอร์ มีนักท่องเที่ยว 3 หมื่นกว่าคน เฉพาะเดือนนี้ (มีนาคม 2561) มีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว 3,000 กว่าคน


พิพิธภัณฑ์ เจ้าสามพระยา มีนักท่องเที่ยวคึกคัก

นอกจากฉากห้องเรียนนางเอกของเรื่อง ผอ.ศาลิสาบอกว่า “เครื่องกรองน้ำ” ที่เรือนไทย เป็นอีกจุดเรียกแขก โดยเฉพาะช่วงเสาร์-อาทิตย์ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่แต่งชุดไทยกันสวยงามเข้ามาเยี่ยมชมที่นี่ ส่วนใหญ่จะมาถามว่าห้องเรียนอยู่ที่ไหน เครื่องกรองน้ำอยู่ที่ไหน ซึ่งเมื่อเข้ามาแล้วก็ไม่ได้มาดูแค่ 2 สิ่งนี้เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นความรู้นอกห้องเรียนอีกมากมาย และทำให้ความคิดเดิมที่บางคนอาจคิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่เก่าๆ โบราณๆ เป็นที่เก็บสมบัติเปลี่ยนไป

ถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาเป็นพิพิธภัณฑ์ในภูมิภาคแห่งแรกของกรมศิลปากร ซึ่งมีการจัดตั้งขึ้นจากเหตุการณ์ใหญ่ 2 เหตุการณ์ คือ ตอนกรุแตกปี 2500 และพบโบราณวัตถุล้ำค่า คือเครื่องทองในกรุวัดราชบูรณะ และพบพระบรมสารีริกธาตุที่วัดมหาธาตุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริว่า “ของที่เจอที่ไหนสมควรได้จัดแสดงที่นั่น” และเสด็จฯมาเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง

ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน

เมื่อกระแสตามรอยออเจ้าหนุนนำให้นักท่องเที่ยวไม่เกี่ยงเพศและวัยเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ที่ปรากฏในฉากละครกันอย่างถล่มทลาย นี่จึงเป็นโอกาสที่จะสอดแทรกนำเสนอเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่แต่ละแห่ง ดังที่ ผอ.ศาลิสาเล่าว่า ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาจึงทำป้ายเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพระนครศรีอยุธยาให้แวะเข้ามาเรียนรู้ประวัติศาสตร์นอกห้องเรียนที่ไม่ได้มีแค่ “เครื่องกรองน้ำโบราณ”

สะพานป่าดินสอ หรือ “สะพานวานร” อยู่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มีวัดสำคัญคือ วัดบรมพุทธาราม วัดของพระเพทราชา

“มติชนอคาเดมี” ซึ่งเป็นสถาบันที่นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงความรู้ร่วมบรรยายให้ความรู้ตลอดทริปเมื่อวันเสาร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา จึงจัดทริป “ดูละครบุพเพสันนิวาส ดูประวัติศาสตร์อยุธยา” โดยมี รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ในช่วงพระนารายณ์กับฝรั่งเศส พาย้อนอดีตไปรู้จักกับเบื้องหลังสถานที่ในฉากละครบุพเพสันนิวาส


ความงามของปูนปั้นที่ยังเหลือให้เห็นที่วิหารแกลบ ในวัดพุทไธศวรรย์

นอกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาแล้ว ยังพาไปสะพาน “ป่าดินสอ” บริเวณย่านการค้าเครื่องเขียน ที่แม่หญิงการะเกดมาช้อปปิ้งสมุดไทยและดินสอศิลาขาว “ป้อมเพชร” จุดที่นางเอกของเรื่องนั่งเรือและโบกมือทักทายกับบรรดาทหารบนป้อม “วัดธรรมาราม” สถานที่เป็นฉากก่อเจดีย์ทราย ก่อนจะลงเรือที่ท่าวัดกษัตราธิราชวรวิหาร ชมทัศนียภาพริมฝั่งน้ำ ไปขึ้นที่ท่าน้ำ “วัดพุทไธศวรรย์” และปิดท้ายที่ “วัดไชยวัฒนาราม”

เพื่อปูพื้นการเดินทางตามรอยออเจ้าทริปนี้เป็นไปอย่างเข้าใจมากขึ้น รศ.ดร.ปรีดีเล่าถึงความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า ที่เห็นจากในละครที่ขุนศรีวิสารวาจาเดินทางไปเป็นตรีทูตร่วมกับคณะทูตเจ้าพระยาโกษา(ปาน) ไปฝรั่งเศสนั้นเป็นการส่งราชทูตไปครั้งสุดท้ายแล้ว

ครั้งแรกส่งทูตไปแล้วเรือแตก ครั้งที่ 2 ส่งไปเพื่อตามข่าวครั้งแรกและทราบข่าวเรือแตก มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทราบความเรือแตกจึงส่ง “เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์” อัญเชิญพระราชสาสน์เข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ติดตามข่าวสารของไทย และเมื่อเดอ โชมองต์ จะกลับ เราจึงส่งคณะทูตไปเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งก็คือครั้งที่ขุนศรีวิสารวาจา และคณะทูตของเจ้าพระยาโกษา(ปาน) เดินทางไป ซึ่งราชทูตชุดนี้กลับมาจากฝรั่งเศสพร้อมกับ “เดอ ลา ลูแบร์” และ “โกลด เซเบอแร ดูว์ บูแล”

“เป้าประสงค์การมาของเซเบอแร คือแก้ไขสนธิสัญญาที่เดอโชมองต์ทำไว้ เซเบอแรจึงเป็นคนแก้ไขสัญญาทางการค้าทั้งหมด ขณะที่ลาลูแบร์เป็นผู้แทนพิเศษที่เข้ามาเจรจาความอื่นๆ นอกเหนือจากการค้า คือการเมืองและการทหาร มาขอป้อมที่บางกอก และที่สงขลา

“ซึ่งถ้าฝรั่งเศสได้สงขลา มะริด ทวาย ตะนาวศรี และบางกอกไปแล้ว แปลว่าราชอาณาจักรสยามหายหมดเลย เหลือแค่เกาะอยุธยา และนี่ทำให้พระเพทราชาและสมเด็จพระนารายณ์ทรงวิตกกังวลพอสมควร รวมถึงขุนนางไทยที่เห็นว่าอำนาจของฝรั่งเศสคืบคลานเข้ามา”


วัดพุทไธศวรรย์ติดป้ายประชาสัมพันธ์เพจของวัด Putthaisawan

‘ม่านอาคม’เป็นเหตุ วัดพุทไธศวรรย์แทบแตก

เป็นอีกสถานที่ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสละครบุพเพสันนิวาสไปเต็มๆ ความที่ถูกใช้เป็นฉากที่เกศสุรางค์ในร่างของแม่หญิงการะเกด เข้าไปในสำนักดาบของวัดแห่งนี้ และได้พบกับพ่อครูชีปะขาวผู้ที่รู้ว่าการะเกดที่แท้เป็นใคร และยังได้มอบมนต์ใช้กำบังกายให้กับเธอ

“วัดพุทไธศวรรย์” สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ในบริเวณที่เคยเป็นพระตำหนักเวียงเหล็ก ที่ประทับของพระองค์ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา จึงมีพระปรางค์เป็นหลัก ลักษณะเป็นพระปรางค์องค์เดี่ยว ถือเป็นหนึ่งในสองสิ่งสำคัญของวัดนี้ นอกจากพระระเบียง

เพียงแค่ก้าวเข้าไปในส่วนของระเบียงคด เสียงของเจ้าหน้าที่สาวในชุดสไบส่งเสียงเชื้อเชิญ ถ้าจะไปดูประตูม่านอาคมเชิญทางฝั่งขวานะคะ

แน่นอน นาทีนี้นักท่องเที่ยวแน่น แทบจะเข้าคิวรอถ่ายรูปกับประตูที่กลายเป็นสถานที่ต้องเช็กอินไปแล้ว

เหตุนี้วัดพุทไธศวรรย์จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมถ่ายรูปตั้งแต่เช้า แม้ไม่ถึงกับมีร้านให้บริการเช่าชุดไทยเช่นบริเวณหน้าวัดไชยวัฒนาราม แต่บางมุมก็มีผ้าซิ่นให้หญิงสาวที่นุ่งกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นได้ยืมเปลี่ยนชั่วคราวเพื่อขึ้นไปกราบสักการะบนพระอุโบสถ


พระตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์

สำหรับผู้ที่เข้ามาเที่ยวชมวัดพุทไธศวรรย์ ไม่อยากให้พลาดชม “พระตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์” อาคารปูน 2 ชั้น เป็นตำหนักเดิมสมัยสมเด็จพระนารายณ์

“พระตำหนัก 2 ชั้นหาได้ยากในอยุธยา ที่สำคัญซุ้มประตูด้านล่างเป็นซุ้มประตูแบบพระราชนิยม เป็น Pointed arch คือเป็นซุ้มโค้งยอดแหลมแบบวังนารายณ์

“ที่สำคัญไปกว่านั้น พระพุทธโฆษาจารย์รูปนี้ก็เดินทางไปลังกา ภายในพระตำหนักชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เลือนเต็มทนแล้ว บอกเล่าถึงประวัติของท่าน”

รศ.ดร.ปรีดีเกริ่นก่อนนำขึ้นพระตำหนักไปชมภาพจิตรกรรมที่น่าสนใจในแต่ละจุด รวมทั้งชี้ให้ดูผนังด้านหนึ่งเหนือบานหน้าต่างเขียนภาพไตรภูมิ เชื่อว่าแต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป

“ไฮไลต์ของภาพที่อยากให้ชมกันคือ ภาพนางรำที่ถือเป็นแม่แบบการรำของอยุธยา ที่จะพัฒนาต่อมาเป็นแม่บทของท่ารำในปัจจุบัน

“บนตำหนักนี้สำคัญมาก ถ้าเราไม่ขึ้นมาชม เราก็จะมุ่งไปที่ม่านอาคมกับมนต์กฤษณะกาลี” วิทยากรของทริปบอกพร้อมกับรอยยิ้ม และฝากย้ำเพื่อเป็นการตอบคำถามของผู้ที่สงสัยหลายๆ คนว่า วัดพุทไธศวรรย์ที่เห็นในละครมีสถานที่ซ้อมการต่อสู้ฟันดาบนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักดาบพุทไธสวรรย์แต่อย่างใดเพียงแต่ชื่อมาพ้องจึงกลายเป็นแบรนด์ของสำนักดาบไป
ปริศนาพระปรางค์วัดไชย

หลังจากเดินเที่ยววัดพุทไธศวรรย์ พิสูจน์ม่านอาคมแล้วก็มาถึงเป้าหมายสุดท้าย สถานที่เหมาะแก่การเก็บภาพยามอาทิตย์อัสดงเป็นที่สุด

“วัดไชยวัฒนาราม” สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยนำคติเขาพระสุเมรุกับแผนผังของปราสาทนครวัดมาเป็นต้นแบบ และดัดแปลงให้มีรูปแบบเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร

“ที่นี่ถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์สำคัญของอยุธยา ซึ่งจะสัมพันธ์กับตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 ครั้งนั้นพื้นที่ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วังหลัง’ ไปแล้ว คือฝั่งที่อยู่ในพระนครแต่อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นจุดที่พม่าต้องตีวังหลังให้ได้ และตีฝั่งตะวันออกคือวังหน้า ซึ่งถ้าจะตีวังหลังให้ได้ก็ต้องตั้งทัพที่ริมขอบพระนคร ฉะนั้นวัดริมน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่วัดท่าการ้องลงมาจนถึงที่นี่จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ต้องรบกับพม่ามาตลอด วัดไชยวัฒนารามก็เป็นค่ายที่พม่าใช้ตั้งอาวุธยิงเข้าไปในกำแพงเมืองพระนคร” รศ.ดร.ปรีดีบอก

ต่อข้อสงสัยที่ว่า พระปรางค์วัดไชยวัฒนารามที่ปรากฏในละครเรื่องดังนับตั้งแต่แวบแรกที่เกศสุรางค์ในร่างแม่หญิงการะเกดมองเห็นเป็นสีทองอร่าม เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่


รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี

รศ.ดร.ปรีดีบอกว่า ต้องยอมรับว่าผู้ประพันธ์เรื่องมีการค้นคว้าพอสมควร เพราะถ้าดูบนยอดปรางค์จะเห็นรูพรุนเต็มไปหมด

“รูพรุนเหล่านั้นเกิดจากการตรึงตะปูสังฆวานร โดยเอาแผ่นโลหะที่ปิดทองคำเปลวทาบบนผิวของพระปรางค์ก่อนจะตรึงด้วยตะปู ซึ่งแผ่นโลหะที่ว่านี้เรียกว่า ‘แผ่นทองจังโก’ ทำให้พระปรางค์วัดไชย ประหนึ่งปิดด้วยทองคำเปลว เราจึงเห็นร่องรอยที่เป็นรูพรุนทั่วพระปรางค์ ซึ่งพบเฉพาะปรางค์องค์ใหญ่ และปรางค์องค์เล็กที่อยู่สี่ทิศ โดยรอบเป็นปูนสีขาว”

วัดไชยวัฒนารามเป็นจุดสุดท้ายของทริปตามรอยบุพเพสันนิวาสที่อโยธยา

สำหรับออเจ้าที่พลาด ยังมีรอบ 2 จัดขึ้นเฉพาะกิจตามเสียงเรียกร้อง ในวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561 ยังสามารถสำรองที่นั่งเข้ามาได้ที่ โทร 08-2993-9097, 08-2993-9105 บอกก่อนว่า ต้องด่วนจี๋ เพราะที่นั่งมีจำกัดเต็มที

หากพูดถึงเมนู “ไก่ทอด” ชุบแป้งกรอบๆ หลายคนคงนึกถึงเชนฟาสต์ฟู้ดดัง “เคเอฟซี” เป็นอันดับแรก ที่มีเมนูฮิตมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาขายในเมืองไทย ไก่ทอดร้านผู้พันเจ้านี้ก็ผุดเมนูเอาใจชาวไทยด้วย “ข้าวไก่แซ่บ” “ข้าวไก่ซี้ด” “ข้าวไก่เขียวหวาน” จนหลายร้านไปจนถึงร้านตลาดนัดก็มีเมนูแนวๆ นี้ขายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นว่าร้านไหนจะมีเมนูแปลกใหม่หรือขายดิบขายดีจนพอจะเป็นคู่แข่งกับเคเอฟซีได้

แต่ในประเทศอินโดนีเซีย มีเมนูไก่ทอดราคาไม่แพงอยู่เมนูหนึ่งที่มีชื่อว่า ayam geprek เป็นเมนูไก่ทอดราดด้วยน้ำซอสพริกโขลกหยาบๆ ซึ่งกำลังกลายเป็นเมนูฮอตปรอทแตกในอินโดนีเซีย โดยเป็นเมนูที่ไม่ได้มีในเคเอฟซี แต่พบในร้านอาหารทั่วไป ทำให้ร้านอาหารที่ขายเมนูนี้ขยายตัวขึ้นมากมายในช่วงปีที่ผ่านมา จนเรียกได้ว่าเขย่าวงการอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดและสร้างความท้าทายให้แก่เคเอฟซีเป็นอย่างยิ่ง

หนึ่งในร้านที่ขายเมนูนี้ก็คือร้าน Geprek Bensu ซึ่งตัวร้านตั้งอยู่ในย่านชุมชนบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงจาร์กาตา โดยในช่วงเวลามื้อกลางวันของวันธรรมดา ที่ร้านจะเนืองแน่นไปด้วยเด็กนักเรียนและพนักงานออฟฟิศ

เมนูที่ป๊อปปูลาร์สุดๆ ก็คือเซตที่ประกอบด้วยไก่ทอดราดซอสพริกโขลกแซ่บ เสิร์ฟพร้อมข้าวและแตงกวาหั่น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มท็อปปิ้งเป็นชีส และสามารถเปลี่ยนข้าวเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวผัดแทนได้ โดยมีความเผ็ดให้เลือกถึง 10 ระดับ และมีราคาอยู่ที่ 16,500 รูเปียห์เท่านั้น หรือประมาณ 37 บาท

ออคตา หญิงทำงานวัย 23 ปี กล่าวว่า ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่จะไปสั่งเมนูที่มีไก่ทอดหรือเมนูเผ็ดๆ

ทั้งนี้ อินโดฯเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าเนื้อวัว ทำให้เนื้อวัวมีราคาแพง ส่งผลให้ไก่ทอดเป็นสินค้าที่พบมากที่สุดในตลาดฟาสต์ฟู้ดอินโดฯที่มีมูลค่า 22.67 ล้านล้านรูเปียห์ โดยเชนแฮมเบอร์เกอร์ต่างๆ เช่น แมคโดนัลด์, เบอร์เกอร์คิง และลอทเทอเรีย ต่างก็ต้องแข่งขันด้วยการเพิ่มเมนูไก่ทอดให้หลากหลาย

ขณะที่สถานการณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งรวมไปถึงการกินอาหารนอกบ้านในอินโดนีเซีย เริ่มผงกหัวขึ้นอย่างช้าๆ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารฟาสต์ฟู้ดอาจต้องขึ้นอยู่กับความครีเอทีฟของร้านอาหาร ว่าจะสามารถนำเสนอเมนูไก่ที่ราคาถูกและน่าสนใจได้อย่างไร

ส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาก็คือการที่ร้านอาหารสร้างความแปลกใหม่ให้ตัวเอง เช่น ร้านอาหารเกาหลีที่ชื่อว่า Ojju ที่เพิ่มเมนูชีสวางบนกระทะร้อน เวลากินจะให้พนักงานมายืดชีสแล้วพันบนเนื้อสัตว์ หรือเคเอฟซีที่มีช่วงหนึ่งนำเสนอเมนูไก่ทอดราดซอสช็อกโกแลตเผ็ด เป็นต้น

แต่สำหรับที่ร้าน Geprek Bensu เมนูที่ทุกคนต่างพูดถึงก็คือ ayam geprek โดยระดับความเผ็ดที่คนนิยมมากที่สุดก็คือระดับ 10 ที่เต็มไปด้วยพริกโขลกเต็มจาน โดยเวลากินจะไม่มีตะเกียบหรือมีดบนโต๊ะ แต่ลูกค้าจะต้องฉีกไก่ด้วยมือและกินคู่กับข้าว ซึ่งบอกเลยว่าเพียงหนึ่งคำก็ทำให้ปากของคุณเบิร์นสุดๆ จนต้องร้องขอน้ำสักแก้ว

ภาพที่เห็นได้ทั่วไปในทุกวันนี้คือ ลูกค้ารายหนึ่งมาถึงที่ร้าน มองหาโต๊ะภายในร้านที่ติดแอร์ ถึงแม้จะไม่มีแต่เขาก็ยินดีที่จะนั่งโต๊ะนอกร้านท่ามกลางอากาศร้อน และเอ็นจอยไปกับมื้ออาหารถึงแม้เหงื่อจะไหลออกมาพลั่กๆ

เมนู ayam geprek กลายมาเป็นเมนูฮิตระเบิดระเบ้อตั้งแต่ปี 2017 หลังผู้ก่อตั้งร้าน Geprek Bensu ที่ชื่อว่า Ruben Onsu ไปออกรายการโทรทัศน์ โดยปัจจุบันร้านอาหารดังกล่าวมีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ และกำลังเริ่มเป็นคู่แข่งกับเชนฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียอย่างเคเอฟซี ที่มีสาขาราว 600 สาขา

นอกจากนี้ การแชร์ภาพเมนูดังกล่าวบนแอปพลิเชั่นอินสตาแกรมยังช่วยให้ผู้คนรู้จักเมนูนี้มากขึ้น

ส่วนชื่อ ayam geprek ความหมายที่แท้จริงหมายถึง “ไก่ทุบ” ซึ่งมาจากวิธีการปรุงเมนูนี้นั่นเอง โดยส่วนผสมของน้ำราดด้านบนจะทำมาจากพริกไทยแดง, หัวหอมใหญ่, มะเขือเทศ, เกลือ และส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำให้เผ็ด แล้วใส่ลงไปในเครื่องโม่ เพื่อทำน้ำซอสที่เรียกว่า Sambal ก่อนจะเติมลงในไก่ทอด แล้วโขลกพร้อมส่วนอื่นๆ ทั้งนี้ น้ำซอสของเมนูนี้จะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะโฟกัสไปที่การคงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นถิ่นด้วยน้ำซอสเผ็ดนั่นอง


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

ร้านอาหาร 9 แห่ง จากประเทศไทย ติดโผรายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561

รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561 ครั้งที่ 6 สนับสนุนโดยซานเพลเลกริโน และ แอคคัว แพนนา (S.Pellegrino & Acqua Panna) ได้มีการประกาศอยางเป็นทางการในงานมอบรางวัล ณ โรงแรมวินน์ พาเลซ มาเก๊า โดยมีร้านอาหารที่ติดอันดับเข้ามาใหม่ถึง 8 ร้าน และมีร้านอาหาร 9 แห่งจากประเทศไทย ติดโผยรายชื่อในปีนี้

ร้านกักกัน (Gaggan) กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 สำหรับรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (The Best Restaurant in Asia) ที่สนับสนุนโดยซานเพลเลกริโน และ แอคคัว แพนนา (S.Pellegrino & Acqua Panna) และรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย (The Best Restaurant in Thailand) ทั้งนี้ ร้านของ กักกัน อนันต์ (Gaggan Anand) เริ่มติดอันดับ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมของโลกในปี 2557 และอยู่ในอันดับที่ 7 เมื่อปีที่แล้ว

สำหรับ 9 ร้านอาหารจากประเทศไทยนั้น ประกอบด้วยร้าน Paste (อันดับที่ 31) ของ บงกช ‘บี’ สระทองอุ่น ซึ่งเป็นการติดอันดับเข้ามาใหม่ในปี 2561 นี้ และเธอยังได้รับรางวัล เชฟหญิงยอดเยี่ยมแห่งเอเชียประจำปี 2561 อีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีร้านอื่นๆ ที่ปีนี้กลับเข้ามาติดอันดับอีกครั้ง ได้แก่ ร้าน Sühring (ขึ้นจากอันดับ 9 มาอยู่อันดับที่ 4) ร้าน Nahm (อันดับที่ 10) ร้าน Le Du (ขึ้นจากอันดับที่ 23 มาอยู่อันดับที่ 14) ร้าน Eat me (อันดับที่ 33) ร้าน Bo lan (อันดับที่ 37) ร้าน Issaya Siamese Club (อันดับที่ 39) และร้าน The Dining Room on the House on Sathorn (อันดับที่ 43)

รางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมในแต่ละประเทศ

ประเทศญี่ปุ่น

ร้าน Den (อันดับที่ 2) ขึ้นจากอันดับ 9 สู่รางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งญี่ปุ่น (The Best Restaurant in Japan) แทนที่ ร้าน Narisawa ที่ครองตำแหน่งนี้ติดต่อกันนานถึง 5 ปี สำหรับ 10 ร้านที่ติดอันดับสูงสุด ได้แก่ ร้าน Florilège (อันดับ 3) และร้าน Nihonryori RyuGin (อันดับ 9) ทั้งสองที่อยู่ใน โตเกียว ส่วนร้าน II Ristorante – Luca Fantin เป็นร้านที่ติดอันดับเข้ามาใหม่ในปีนี้ อยู่ในอันดับที่ 28

ร้าน La Cime ในโอซาก้า ติดอันดับที่ 17 เป็นครั้งแรก กับรางวัลร้านอาหารหน้าใหม่ที่ได้รับอันดับสูงสุด (Highest New Entry Award) สนับสนุนรางวัลโดย Aspire Lifestyles ด้วยเมนูที่นำเสนออาหารฝรั่งเศสแนวใหม่ เชฟยูซุเกะ ทาคาดะ เสาะหาแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น ส่วนผสมตามฤดูกาล ในการนำเสนออาหารในสไตล์ที่ประณีตและสมบูรณ์แบบ

ในปีนี้ทั้งร้านอาหารและเชฟจากญี่ปุ่นนั้นเป็นที่ยอมรับและถูกนำเสนอเป็นผู้เข้าชิงในรางวัลประเภทต่างๆ มากมาย เชฟโยชิฮิโร่ นาริซาว่า ในปีนี้ได้รับการโหวตจากพื่อนร่วมวงการ และได้รับรางวัลขวัญใจเชฟ (Chef’s Choice Award) ที่สนับสนุนโดย Estrella Damm เป็นเวลาถึง 2 ทศวรรษ ที่ นาริซาว่า ได้รับการยอมรับ และนับถือจากเพื่อนร่วมงาน ด้วยอาหารชั้นเลิศต่างๆของเขาและความสามารถในการผสมผสานเทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศส การใช้แนวทางการฝึกฝนแบบยั่งยืนและการให้ความสำคัญต่อประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่น

ร้าน L’Effervescence ในโตเกียว รั้งอันดับที่ 20 ในปีนี้ และยังได้รับรางวัลร้านอาหารร้านอาหารเพื่อความยั่งยืนแห่งเอเชีย (Sustainable Restaurant Award) ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มมาใหม่ในปีนี้ เพื่อมอบให้กับร้านอาหารที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมสูงสุด ที่ผ่านการรับรองจากสมาคมร้านอาหารเพื่อความยั่งยืน (The Sustainable Restaurant Association)

ประเทศสิงคโปร์

เชฟจูเลียน โรเยอร์ แห่งร้าน Odette ก้าวขึ้นสู่อันดับ 5 ในรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งสิงคโปร์ (The Best Restaurant in Singapore) ร้านจากสิงคโปร์ยังติดดับเข้ามาถึง 7 ร้านด้วยกัน ได้แก่ ร้าน Burnt Ends (อันดับที่ 12) ร้าน Waku Ghin (อันดับที่ 23) ร้าน Les Amis (อันดับที่ 29) ร้าน Corner House (อันดับที่ 36) และร้าน Jaan (อันดับที่ 44) รวมถึงร้าน Whitegrass ซึ่งติดอันดับเป็นครั้งแรก (อันดับที่ 50)

ประเทศจีน

นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่ ร้าน Amber (อันดับ 7) จากฮ่องกง คว้ารางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งประเทศจีน (The Best Restaurant in China) นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารในฮ่องกงติดอับดับอีก 9 แห่ง ได้แก่ร้าน 8 ½ Otto e Mezzo Bombana (อันดับที่ 13) ร้าน Ta Vie (อันดับที่ 16 จาก 17) และร้าน Lung King Heen (อันดับที่ 24) และอีก 2 ร้านที่ติดอันดับเป็นครั้งแรกในปีนี้ ได้แก่ ร้านNeighborhood (อันดับที่ 32) และร้าน Belon (อันดับที่ 40)

ส่วนรางวัลความก้าวหน้าอันสูงสุด (The Highest Climber Award) เป็นการครองตำแหน่งร่วมกันของร้าน The Chairman ฮ่องกง (อันดับที่ 22) และร้าน Mume ในไทเป (อันดับที่ 18) ซึ่งเป็นการไต่อันดับขึ้นมาถึง 25 อันดับ

ส่วนร้าน Jade Dragon เป็นร้านจากมาเก๊า (อันดับที่ 35) ในขณะที่ร้านจากจีนแผ่นดินใหญ่ นับรวมเซี่ยงไฮ้ ที่ได้รับรางวัลคือ ร้าน Ultraviolet by Paul Pairet (อันดับ 8) และร้าน Fu He Hui (อันดับที่ 30)

ประเทศเกาหลีใต้

ร้าน Mingles ในโซล ยังคงรักษาตำแหน่งร้านอาหารยอดเยี่ยมในเกาหลี (The Best Restaurant in Korea) ในขณะที่ ร้าน Jungsik ได้รับอันดับที่ 26 ร้าน TocToc ได้รับรางวัลร้านอาหารที่น่าจับตามอง โดยมิเอเล่ เมื่อปี 2560 ก็ติดอันดับที่ 42 ด้วย

ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ร้าน Locavore (อันดับที่ 21) ในบาหลี ได้รับรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมในอินโดนีเซีย (The Best Restaurant in Indonesia) ในขณะที่ร้าน Indian Accent ขยับขึ้นไป 11 อันดับ สู่อันดับที่ 19 ในรางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งอินเดีย (The Best Restaurant in India) ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ของร้าน สำหรับผู้ชนะรางวัลจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ร้าน Raw (อันดับที่ 15) คว้ารางวัลร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งไต้หวัน (The Best Restaurant in Taiwan) เป็นปีที่ 2 และร้าน Ministry of Crab (อันดับที่ 25) ในโคลัมโบ ยังคงรักษาตำแหน่ง ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งศรีลังกา (The Best Restaurant in Sri Lanka) เป็นปีที่ 3

ผู้ชนะรางวัลในสาขาอื่นๆ ประกอบด้วย:

เพสตรี้เชฟยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best Pastry Chef) สนับสนุนโดยวัลโรน่า ได้แก่

นิโคลัส แลมเบิร์ท จากร้าน Caprice ในฮ่องกง

นิโคลัส แลมเบิร์ท มาจากครอบครัวที่ทำขนม ได้ฝึกฝนทักษะกับเชฟทำขนมชาวฝรั่งเศสชื่อดังระดับโลกหลายคน อาทิ คริสโตเฟอร์ มีชลัค (Christophe Michalak) แห่งโรงแรมพลาซ่า แอทธีนี ในกรุงปารีส นับแต่ได้ร่วมงานที่ Caprice ในฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2558 ผลงานสร้างสรรค์ที่ละเอียดอ่อนและศิลปะการจัดวางของเชฟชาวฝรั่งเศสนี้ ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างมากมาย ทั้งนี้ ‘La Framboise Reconstituée’ คือขนมหวานจานเด่นของเขา ที่สะท้อนทักษะด้านเทคนิค รวมทั้งความสามารถของเขาในการก้าวข้ามขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์

รางวัลศิลปะแห่งการบริการ ได้แก่ร้าน Ultraviolet by Paul Pairet เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

เป็นร้านที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรก ของ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียมาตลอด สำหรับร้าน Ultraviolet คือร้านอาหารที่นำเสนอประสบการณ์รสชาติได้แบบลุ่มลึก และหลากหลายสัมผัสของรสชาติอาหาร ที่ผนวกการทำอาหารและมนตราแห่งความหรูหราเข้าด้วยกัน ในบรรยากาศของพื้นที่ร้านตั้งใจรังสรรค์ด้วยความลึกล้ำ ให้แก่แขกที่มารับประทานอาหารได้ลิ้มรสอาหาร ซึ่งอาหารในแต่ละคอร์สนั้นจะเสิร์ฟมาท่ามกลางการสร้างบรรยากาศด้วยเทคนิคพิเศษทั้งแสง สี ภาพเคลื่อนไหว ที่ช่วยเพิ่มความพิเศษของมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากนี้ยังมีรางวัลอื่นๆ อีกสองรางวัล ที่มอบให้แก่ร้าน Toyo Eatery ในกรุงมะนิลา ได้แก่ รางวัลร้านอาหารที่น่าจับตามองโดยมิเอเล่ (Miele One To Watch Award) โดยนำเอาอาหารท้องถิ่นของฟิลิปปินส์มาตีความใหม่ ทั้งยังฉลองรางวัลให้กับ เชฟอังเดร เจียง แห่งร้าน Raw ในไทเป และร้าน André ในสิงคโปร์ ที่ในปีนี้ได้รับรางวัล ไดเนอร์ส คลับ® รางวัลแห่งความสำเร็จในชีวิต (The Diners Club® Lifetime Achievement Award)

วิลเลียม ดรูว์ บรรณาธิการกลุ่มของ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย กล่าวว่า “รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2561 มีร้านอาหารหน้าใหม่ 8 ร้านติดอันดับในปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นนวัตกรรมที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องของวงการอาหารในภูมิภาคนี้ ในปีที่ 6 ของงาน 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียยังคงให้การต้อนรับผู้มีความสามารถรายใหม่ๆ เจาะแนวโน้มอุตสาหกรรม และเฉลิมฉลองให้กับทุกความยอดเยี่ยม และเรายินดีเป็นอย่างมากในการมอบเกียรติยศนี้แก่ทั้ง 50 ร้านอาหารที่อยู่ในรายชื่อประจำปีพ.ศ. 2561 นี้ รวมถึงผู้ชนะรางวัลประเภทต่างๆ ผู้ซึ่งให้แรงบันดาลใจกับเรา ด้วยวิสัยทัศน์ และความสำเร็จอันโดดเด่นของพวกเขา”

การรวบรวมรายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมในเอเชีย

รายชื่อ 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชียจัดทำขึ้นจากผลโหวตของ 50 Best Restaurants Academy เป็นกลุ่มของผู้นำในธุรกิจอาหารกว่า 300 รายจากทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีทัศนะ และประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจอาหารของเอเชีย โดยคณะกรรมการในแต่ละภูมิภาค ประกอบด้วย นักเขียน และนักวิจารณ์อาหาร เชฟ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘นักชิม’ สมาชิกให้คะแนนตัวเลือกของตัวจากความชอบ โดยการคัดเลือกร้านจากความชอบจากประสบการณ์ที่ได้รับจากร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา โดยไม่มีการกำหนดเกณฑ์ล่วงหน้า แต่การลงคะแนนนั้นจะเป็นไปตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

งานประกาศรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ประจำปี 2561 เป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งกับพันธมิตรอย่างดีลอยต์ (Deloitte) บริษัทที่ปรึกษาอิสระอย่างเป็นทางการ การตัดสินจากดีลอยต์สามารถมั่นใจในความโปร่งใส และมาตรฐานที่น่าเชือถือ ขั้นตอนในการลงคะแนน โดยผลการตัดสินรางวัลประเภทต่างๆ นั้นถูกต้องและเที่ยงตรง ติดตามรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับผลการประกาศผลรางวัล 50 ร้านอาหารยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย ได้ที่ http://www.theworlds50best.com/asia/en/our-manifesto.html

สำหรับการเลือกใส่เครื่องประดับของหญิงสาวนั้นนอกจากเพื่อความสวยงามแล้ว เครื่องประดับยังเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถสะท้อนถึงคาแรคเตอร์และกำหนดภาพลักษณ์ของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดเครื่องประดับอัญมณีแบรนด์ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) โดย ชลรดา ไชยศุภรากุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เก็ต แอคเซส จำกัด ได้เปิดตัว 4 คอลเลกชั่นดีไซน์ล่าสุด ที่ชื่อว่า แทลลี่ โรส (Taille Roos), ทิปปิคอล โรส (Typical Roos), ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) และ มูนดรอป (Moondrops) ให้เหล่าจิวเวลรี่เลิฟเวอร์ได้ยมโฉมพร้อมกัน

‘โรส 1835’ (Roos 1835) แบรนด์เครื่องประดับอัญมณีแท้จากประเทศเบลเยียม ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1835 โดยครอบครัว โรเซนดาล (Rozendaal) โดยผลงานทุกชิ้นที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นล้วนมาจากการออกแบบของมิสเตอร์ รีน โรเซนดาล (Mr. Rien Rozendaal) นักออกแบบอัญมณีชื่อดังผู้สืบทอดกิจการจากครอบครัวรุ่นที่ 6 โดยงานดีไซน์ในทุกคอลเลกชั่นจะได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่ายจุดเด่นที่เน้นความหรูหราแต่ทว่าเรียบง่าย สามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ด้วยฝีมือการเจียระไนเพชรอย่างเบลเยียมแท้ที่มีการผสมผสานระหว่างเทคนิคแบบโรสคัท (Rose Cut) และบริลเลียนท์คัท (Brilliant Cut) ลงบนตัวเรือนโรส โกลด์ (Rose Gold) และไวท์ โกลด์ 18K (White Gold 18K) ได้อย่างลงตัว ซึ่งในปัจจุบัน ‘โรส 1835’ (Roos 1835) มีวางจำหน่ายในร้านเพชรชั้นนำกว่า 200 แห่งใน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ อเมริกา จีน และ ไทย

โดยเครื่องประดับ 4 คอลเลกชั่นที่เปิดตัวในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย แทลลี่ โรส (Taille Roos) อัญมณีสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา คอลเลกชั่นนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเพชรโรสคัทร่วมสมัยกับเพชรบริลเลียนท์คัทผ่านการเจียระไนโดยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญจนเกิดเป็นเครื่องประดับน้ำงามที่มอบความหรูหราโดดเด่นให้แก่ผู้สวมใส่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาที่คอลเลกชั่น ทิปปิคอล โรส (Typical Roos) สร้างสรรค์ขึ้นจากคอนเซ็ปต์ของความทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน แต่ยังคงแฝงความหรูหราเอาไว้ จากการเลือกใช้เพชรบริลเลียนท์คัทสีขาวและสีแชมเปญที่ถูกคัดมาเป็นอย่างดี รวมถึงดีไซน์พิเศษที่ใช้เพชรบริลเลียนท์คัทประกอบกับแซฟไฟร์ (Sapphire) สีน้ำเงิน ถ่ายทอดเป็นเครื่องประดับดีไซน์แปลกตา ที่คงความทันสมัยช่วยเสริมบุคลิกให้ผู้ที่สวมใส่ได้เป็นอย่างดี คอลเลกชั่นถัดมา ไทม์เลส โรส (Timeless Roos) คอลเลกชั่นแหวนที่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญในโอกาสพิเศษหรือแหวนหมั้น ด้วยความโดดเด่นของเพชรเม็ดเดี่ยว (Solitaire) สีขาวเปล่งประกายสดใส บ่งบอกถึงความรักอันบริสุทธิ์ ในดีไซน์เรียบหรูไร้ที่ติ ปิดท้ายที่คอลเลกชั่น มูนดรอป (Moondrops) ที่ยังคงใช้แมททีเรียลหลักเป็นเพชรบริลเลียนท์คัทน้ำงาม และเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาด้วยทับบทิม (Ruby), แซฟไฟร์ (Sapphire), ควอทซ์ (Quartz), มูนสโตน (Moonstone) และเพชรสีดำ (Black Diamond) ถ่ายทอดเป็นอัญมณีดีไซน์แปลกตาที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้กับเสื้อผ้าได้ทุกชุด สร้างเสน่ห์ให้หญิงสาวผู้สวมใส่ได้เผยสไตล์อันโดดเด่นได้ในทุกโอกาส

เสริมบุคลิกให้โดดเด่นและสมบูรณ์แบบด้วยเครื่องประดับ ‘โรส 1835’ (Roos 1835) ได้แล้ววันนี้ที่ ห้างสรรพสินค้า เดอะ เอ็มโพเรียม ชั้น 1, เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 1 และสยามพารากอน ชั้น M ในราคาพิเศษในช่วงเปิดตัว ในประเทศไทย และที่สำคัญคือ ทุกชิ้นงาน รับประกัน 100% LIFE TIME WARANTEE เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่าน

เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ วาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทยปีนี้ ศูนย์การค้าเมกาบางนา ศูนย์การค้าสำหรับ ทุกคนในครอบครัว จัดงาน “เมกา สงกรานต์: ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” ขอเชิญชวนร่วมสักการะ องค์พระพุทธรูปจำลองจากวัดชื่อดัง ขอพรสะเดาะเคราะห์ตามประเพณีล้านนา พร้อมสรงน้ำพระประจำวันเกิดเพื่อความเป็นสิริมงคล ร่วมชมการแสดงตีกลองสะบัดชัย ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบล้านนา และชุ่มฉ่ำคลายร้อนไปกับสวนน้ำเคลื่อนที่และ เครื่องเล่นมากมาย สนุกสนานไปกับเกมส์งานวัดสุดประทับใจ ลุ้นรับของรางวัลแบบไทยๆ สนุกฟรีตลอดงาน ระหว่าง วันที่ 12-15 เมษายน 2561 ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา

 

ฉลองสงกรานต์ปีนี้ ศูนย์การค้าเมกาบางนา ได้เนรมิตเมืองเหนือมาไว้ที่นี่ เพื่อมอบความสุขให้ทุกครอบครัว ภายใต้แนวคิด “ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” พร้อมประดับตกแต่งบริเวณศูนย์การค้าด้วยตุงและโคมไฟยี่เป็งตระการตา โดยจัดกิจกรรม 2 โซน โซนแรกคือ โซนสุขใจ ณ บริเวณ เมน เอนทรานซ์ ที่ให้ทุกครอบครัวร่วมอิ่มบุญ สุขใจ ในวันปีใหม่แบบไทย โดยได้อัญเชิญองค์พระพุทธรูปจำลองจากวัดดังมาประดิษฐานให้ผู้ร่วมงานได้สักการะ อาทิ พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองตามแบบชาวล้านนา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการสรงน้ำ ทำบุญพระประจำวันเกิด และพลาดไม่ได้กับไฮไลท์การแสดงโชว์ที่หาชมได้ยากและตื่นตาตื่นใจ เช่น โชว์ตีกลองสะบัดชัย และฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ

และเตรียมหรรษาคลายร้อนไปกับ โซนสาดสนุก ณ บริเวณเมกา พลาซ่า ที่จะให้ทุกคนชุ่มฉ่ำตลอดทั้งวันกับสวนน้ำเคลื่อนที่ สไลเดอร์ขนาดยักษ์ และอุโมงค์น้ำ พร้อมพาทุกท่านย้อนวันวานบรรยากาศงานวัดแบบไทยๆ ด้วยขนมทานเล่นที่ยังอยู่ในความทรงจำ อาทิ ไอติมหลอด น้ำหวานหัวจรวด สายไหม น้ำตาลปั้น และน้ำแข็งใส รวมทั้งเกมส์การละเล่น ปืนจุกน้ำปลา ปาโป่ง โยนห่วง และสาวน้อยตกถัง

ขอเชิญร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย และเสริมความเป็นศิริมงคลในงาน “เมกา สงกรานต์: ม่วนขนาด สาดสนุก…สุขสุดใจ ปี๋ใหม่เมือง” ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน 2561 เวลา 10:00 – 19:00 น.
ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา สอบถามรายละเอียด โทร. 02 -105 -1000 และ www.facebook.com/MegabangnaShoppingCenter

ถือเป็นกระแสข่าวที่สร้างความฮือฮาในวงการธุรกิจไรด์แชริ่งเลยก็ว่าได้ เมื่อ “แกร็บ” ประกาศว่าได้เข้าซื้อกิจการ “อูเบอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 8 ประเทศ คือ กัมพูชา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, เวียดนาม และไทย

โดยในข้อตกลง อูเบอร์จะถือหุ้น 27.5% ในแกร็บ และดารา โคสโรว์ชาฮี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอูเบอร์ ก็จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารของแกร็บ

ในอีเมล์ประกาศของแกร็บและอูเบอร์ระบุว่า แกร็บจะควบรวมกิจการเรียกรถโดยสารผ่านแอปพลิเคชั่นและรับส่งอาหารของอูเบอร์เข้ามาไว้กับแพลตฟอร์มของแกร็บ

โดยแอปฯอูเบอร์จะให้บริการต่อไปอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งก็คือถึงวันที่ 8 เมษายนนี้เท่านั้น ส่วนคนขับอูเบอร์ก็จะต้องไปลงทะเบียนสมัครกับแกร็บใหม่

ขณะที่แอปฯอูเบอร์อีทส์ ซึ่งเป็นบริการรับส่งอาหาร จะให้บริการไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2561 และหลังจากนั้นข้อมูลรายชื่อของผู้จัดส่งและร้านอาหารก็จะถูกถ่ายโอนไปยังแอปฯของแกร็บอย่าง “แกร็บฟู้ด” นั่นเอง

ควบรวมกิจการ เท่ากับการแข่งขันลด

ถึงแม้ทั้ง 2 บริษัทจะออกมาบอกว่าการควบรวมกิจการครั้งนี้ คนที่จะ “วิน” หรือได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ “ผู้โดยสาร” แต่นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า นี่หมายถึงราคาค่าบริการอาจแพงขึ้น

Corrine Png นักวิเคราะห์ด้านการขนส่งจากบริษัทวิจัยในสิงคโปร์ กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้หมายความว่าผู้โดยสารจะมีตัวเลือกในการใช้บริการลดลง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ก็มีแนวโน้มว่าค่าบริการจะแพงขึ้น

ที่ผ่านมาการแข่งขันในธุรกิจในไรด์แชริ่งถือว่าดุเดือดมาก ส่งผลให้มีการลดราคาและออกโปรโมชั่นมากมายทั้งสำหรับผู้ขับและผู้โดยสาร แต่เมื่อการแข่งขันลดลง ราคาก็อาจเพิ่มขึ้น

จาง ปิน ปิน ผู้ใช้บริการทั้งแกร็บและอูเบอร์ในสิงคโปร์ กล่าวกับสเตรทไทม์สว่า ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ราคาจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าหากราคาเพิ่มขึ้นหรือมีราคาพอๆ กับแท็กซี่ เธอก็จะหันกลับมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทน

ขณะที่ โรบิน ชู ช่างภาพอิสระ ระบุว่า ตนมีความกังวลว่าหากเรียกรถผ่านแกร็บแล้วราคาเพิ่มขึ้น ก็อาจจะพิจารณาตัวเลือกการเดินทางใหม่

ทั้งนี้ เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ www.cokiecoffee.com เคยเทียบราคาค่าบริการระห่างแกร็บคาร์และอูเบอร์เอ็กซ์ ซึ่งเป็นบริการในระดับเดียวกัน หลังอูเบอร์ปรับราคาใหม่เมื่อ ส.ค.2017 ให้ผู้โดยสารสามารถ “รู้ราคาสุดท้าย” ได้ จากตอนแรกที่รู้เพียงราคาประมาณ

โดยพบว่าจากการเรียกรถให้ไปส่งในจุดหมายปลายทางเดียวกัน ระยะทางเท่ากัน พบว่าอูเบอร์เอ็กซ์มีราคาถูกกกว่าราว 10% แต่เมื่อทดลองเรียกในหลายๆ เส้นทาง บางครั้งแกร็บถูกกว่า บางครั้งอูเบอร์ถูกกว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

รายได้คนขับยังจะเหมือนเดิมไหม

ความกังวลไม่ได้อยู่ที่ผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงคนขับด้วย โดยผู้ขับหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขารู้สึกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราค่าคอมมิสชั่นและค่าอินเทนซีฟ ที่โดยปกติผู้ขับจะต้องจ่ายให้กับผู้ให้บริการ 20% ของค่าโดยสาร

เคน แทน ผู้ที่เคยขับทั้งอูเบอร์และแกร็บ กล่าวว่า เขากังวลว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อรายได้คนขับ ซึ่งเขาระบุว่าเขาน่าจะได้รายได้มากกว่าถ้าขับอูเบอร์ เนื่องจากมีค่าอินเทนซีฟที่ดีกว่านั่นเอง

เรียกได้ว่าสิ่งที่คนขับเป็นกังวลกันก็คือ หากย้ายจากอูเบอร์ไปขับแกร็บแล้ว รายได้ของตนจะลดลงหรือไม่ ค่าอินเทนซีฟจะเท่าเดิมหรือเปล่า และแกร็บจะดูแลผู้ขับอย่างไรบ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากแกร็บคาร์ที่เป็นรถส่วนตัว และแกร็บคาร์พลัสซึ่งเป็นรถหรูพรีเมี่ยม แกร็บยังมีแกร็บแท็กซี่ไว้รองรับลูกค้าอีกกลุ่ม ตัวเลือกที่มากขึ้นในแอปฯเดียวทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าโอกาสที่คนขับจะได้งานจะลดลงหรือเปล่า?

นายอัง ฮิน คี ที่ปรึกษาระดับสูง สมาคมแท็กซี่แห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ที่จริงแล้วผู้บริโภคและคนขับต้องการตัวเลือกที่มากขึ้น ไม่ใช่ลดลง อย่างไรก็ตาม เขาก็หวังว่า สุดท้ายแล้วการควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีขึ้น

“ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลง พนักงานลดลง ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาก็ลดลง องค์กรใหม่ก็จะสามารถโฟกัสไปที่การส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนขับและผู้โดยสาร” อัง ฮิน คี กล่าว

สุดท้ายแล้วคงต้องดูกันต่อไปว่า การควบรวมกิจการอูเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับแกร็บในครั้งนี้ ใครจะได้ประโยชน์?!


Content Team Matichon Academy
ติดต่อ อีเมล์ : [email protected]
โทรศัพท์ 0-2954-3971 ต่อ 2111

กระทรวงสาธารณสุข เคยรายงานภาวะที่เด็ก ซึ่งมีอาการดาวน์หรือดาวน์ซินโดรมร้อยละ 50 มีภาวะอ้วน สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยได้แก่ 1.เรื่องของตัวโรคร่วมที่เกี่ยวข้องกับอาการดาวน์ที่เด็กกลุ่มนี้มักจะมีโรคเบาหวาน และภาวะไทรอยด์บกพร่องร่วมด้วย ซึ่งโรคร่วมเหล่านี้ส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญแตกต่างจากเด็กทั่วไป

2.วิถีการใช้ชีวิตที่บางครั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดใหญ่และข้อต่อกระดูก อาจจะยังมีไม่มากเท่ากับเด็กทั่วไป ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายและทำกิจกรรมได้น้อยกว่าเด็กปกติ ดังนั้นร่างกายจึงเกิดการสะสมไขมันได้ง่ายกว่าจนเกิดภาวะอ้วน และ 3.ยาบางชนิดที่เด็กกลุ่มนี้ต้องทานมีผลต่อการสะสมพลังงานและไขมันในร่างกายจึงส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนได้ง่าย

ดังน้นจึงต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารในกลุ่มเด็กอาการดาวน์ โดยรูปแบบการออกกำลังกายก็ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด ที่จะคอยประเมินและเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคนตามความสามารถ ซึ่งบางกิจกรรมการออกกำลังกายจะส่งเสริมเรื่องพัฒนาการร่วมด้วย

ทั้งนี้ อาหารของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ต้องเลือกอาหารที่ถูกสุขลักษณะคล้ายผู้ที่มีภาวะอ้วน คือ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานมาก น้ำตาล แป้ง ไขมัน ในปริมาณที่มากๆ อาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ก็ควรลด นอกจากนี้ควรฝึกให้เด็กทานอาหารที่ให้โปรตีนมากๆ ร่วมกับการฝึกเคี้ยวทั้งเนื้อสัตว์ ร่วมกับการทานโปรตีนจากถั่ว เพราะเด็กกลุ่มนี้อาจจะทานอาหารได้ไม่มาก ต้องส่งเสริมให้รับประทานผักและผลไม้ที่ไม่มีรสหวานจนเกินไป เด็กเล็กยังจะเคี้ยวอาหารได้ไม่ดีพอ จึงต้องให้รับประทานอาหารที่นุ่มนิ่ม ผักก็ต้องเริ่มจากที่กลิ่นไม่แรง รสไม่จัด แล้วไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อความเคยชินของเด็ก และควรทานอาหารที่มีเส้นใยเพื่อช่วยขัดฟัน


ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ซัมเมอร์นี้ไม่มีที่หลบแดด ลองมาที่ ศูนย์การค้า เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ถนนราชดำริ กันได้ แถมยังอิ่มท้อง อร่อยลิ้น กับป็อบอัพ คาเฟ่ เก๋ๆ “เพนนิน ซัมเมอร์ คาเฟ่” (Penin Summer Café) พร้อมเมนูคอมฟอร์ท ฟู๊ด ร่วม 30 รายการ อาหารทานง่าย สบายๆ และรสชาติคุ้นลิ้น ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี มารังสรรค์เป็นอาหารรสเลิศ ท่ามกลางบรรยากาศภายในร้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ดูสบายๆ จะมานั่งทานอาหาร หรือสั่งเครื่องดื่ม พร้อมเซลฟี่ถ่ายรูปเก๋ๆ ที่ได้อารมณ์เสมือนนั่งจิบกาแฟที่คาเฟ่ในปารีส

มาถึงเพนนินซูล่า พลาซ่า ทั้งที ต้องสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเรือไฮโซในตำนาน ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ เพราะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือขึ้นห้างกลางกรุงที่เป็นที่รู้จักกันมากว่า 30 ปี ด้วยรสชาติของน้ำซุปที่เคี่ยวมาอย่างเข้มข้น และยังหอมด้วยกลิ่นของเครื่องเทศสมุนไพร กินคู่กับเนื้อหมูที่หมักได้เข้าที่ หรือเนื้อตุ๋นที่เคี่ยวจนเนื้อนิ่มเปื่อย ช่วยเพิ่มความอร่อยให้แก่ก๋วยเตี๋ยวเรือชามนี้มากยิ่งขึ้น

หรืออีกหนึ่งเมนูที่อร่อยไม่ธรรมดา กับเมนู ผัดไทยกุ้งแม่น้ำ ผัดไทยเส้นฉ่ำน้ำซอสแต่รับประทานแล้วไม่เลี่ยน ท็อปปิ้งหน้าด้วยกุ้งแม่น้ำตัวโตๆ 2 ตัว อีกเมนูที่มาแล้วอยากให้ลอง กับเมนู สปาเกตตีทะเลพริกเกลือ ที่ให้กลิ่นหอมฉุนและรสชาติเผ็ดร้อนเบาๆ

ไม่เพียงเท่านี้ยังมีอาหารทานเล่นอย่าง ไก่ทอด 2 สี ที่เสิร์ฟคู่พร้อมกัน ด้วยรสชาติที่แตกต่างแต่อร่อยด้วยกันทั้งคู่ หรืออีกเมนูสุขภาพกับ ซีซ่าร์ไส้กรอกอีสาน เป็นเมนูที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ที่มีรสเปรี้ยว เค็ม ตัดสลับกัน ได้รสชาติที่อร่อย กลมกล่อม และลงตัว

เมนูเครื่องดื่มเป็นอีกไฮไลท์ของที่นี่อย่าง อิตาเลี่ยน โซดา ที่มีหลากหลายรสชาติ เสริมพิเศษด้วยไอศครีมโลลี่ป๊อบเย็นฉ่ำในแก้ว ที่อัดแน่นด้วยผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี กีวี ลูกพีช ดับร้อนช่วงซัมเมอร์นี้ได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่ต้องลอง เพราะที่อื่นไม่มีเสิร์ฟ กับ ฟีล เดอะ ทรอปิคอล ที่นำน้ำลิ้นจี่มาผสมกับน้ำมะม่วง ท็อปปิ้งหน้าด้วยเนื้อมะม่วงและสับปะรดหั่นลูกเต๋า และผลลิ้นจี่ ให้รสชาติที่หวานอมเปรี้ยว และ ฟริซซี่ สไปซ์ ที่เรียกพลังเอนเนอร์จี้ในร่างกาย ด้วยรสชาติเปรี้ยว หวาน ซ่า ของน้ำขิงที่ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมะนาว ไม่เพียงเท่านี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มกาแฟต่างๆ ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟมาจากศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยน้ำขุ่น จ.เชียงราย ที่พร้อมเสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็น

เที่ยว อิ่มท้อง กับอาหารรสชาติคุ้นลิ้นกันได้ที่ “เพนนิน ซัมเมอร์ คาเฟ่” (Penin Summer Cafe) ในศูนย์การค้า เดอะ เพนนินซูล่า พลาซ่า ถนนราชดำริ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

เรียกได้ว่าเป็นโซเชียลส่วนตัวที่ชวนน้ำลายแตกมาก สำหรับเฟซบุ๊กของหนุ่มลาวอย่างบัว ไล ที่มักโพสต์ภาพพร้อมคลิปเมนูอาหารแซ่บๆ แบบฉบับบ้านๆ มาฝาก แต่ละเมนู แต่ละโพสต์ ก็มักได้รับการแชร์ออกไปนับพันๆ ครั้ง บางโพสต์ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 1 หมื่นครั้ง

สิ่งที่ทำให้เขาน่าติดตามนอกจากจะเป็นอาหารจานแซ่บแล้ว ยังน่าจะเป็นความบ้านๆ การปรุงอาหารฉบับคนท้องถิ่น พร้อมบรรยากาศกลางทุ่ง ก็ทำให้เข้าถึงผู้คนได้ง่าย จนทำให้เขามีผู้ติดตามมากถึง 5.6 แสนคน

เราลองไปดูกันดีกว่า เมนูเด็ดจากหนุ่ม “บัว ไล” คนนี้จะมีอะไรบ้าง!

เริ่มที่คลิปที่อาจผ่านตาใครหลายคนมาแล้วอย่าง “ตำบักหุ่ง” หรือ “ส้มตำ” พร้อมฝักกระถิน ซึ่งมีผู้รับชมไปกว่า 16 ล้านครั้ง และแชร์ออกไปอีก 3.8 หมื่นครั้ง

อีกเมนูที่ดูเป็นตาแซ่บหลายก็คือ “ตำมี่ไวไวใส่ปูนาและผัก” ที่มีคนแชร์ออกไปราว 1 หมื่นครั้ง

หนึ่งในคลิปที่ฮอตมากก็คือการปีนต้นมะม่วงขึ้นไปกินมะม่วงจิ้มแจ่วปลาแดก ที่มีคนดูมากถึง 9.8 ล้านครั้ง

หรือจะเป็นการเอามะขามมาจิ้มกับแจ่ว ที่ชวนน้ำลายแตกจนคนดูบอกว่าเห็นแล้วน้ำลายพุ่งเป็นละอองออกจากปากเลยทีเดียว โดยโพสต์นี้ถูกแชร์ออกไปมากกว่า 7.9 หมื่นครั้ง

เมนูแก้ง่วงก็มี เช่น บักม่วงแช่น้ำพริกปลาแดก, ยำบักยมใส่ขิง เป็นต้น

เมนูจากหนุ่มลาวคนนี้ยังมีอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ยำไข่มดแดง ที่เก็บไข่มดแดงสดๆ ใต้ต้นพร้อมยำตรงนั้น หรือเมนูน้ำพริกสาดหน้าหอยปัง ที่ชวนเป็นตาแซ่บสุดๆ และเมนูหอยเชอรี่ถาด ที่ถูกแชร์ออกไปกว่า 8.4 พันครั้ง

ใครเห็นแล้วน้ำลายไหล จะขอไปลองทำามดูบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าลืมคำนึงถึงความสะอาด และปรุงอาหารให้สุกด้วยนะจ๊ะ